ธนาคารบาร์เคลยส์คาดการณ์ว่า การฟื้นตัวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอาจสิ้นสุดลงในช่วงกลางปี 2553 เนื่องจากธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกหลีกเลี่ยงการเพิ่มสกุลเงินดอลลาร์ในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และจากแนวโน้มที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ช้ากว่าที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้
บาร์เคลยส์คาดว่า ดีมานด์ในระยะยาวของสกุลเงินดอลลาร์จะชะลอตัวลง หลังจากเม็ดเงินดอลลาร์ในระบบทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลกช่วงไตรมาส 3 ร่วงลงเกือบ 30% ซึ่งเป็นการลดลงอย่างเหนือความคาดหมายในช่วงที่สกุลเงินดอลลาร์อ่อนแอลง โดยตั้งแต่ต้นเดือนธ.ค.จนถึงขณะนี้ ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงหนักสุดในรอบ 11 เดือนเมื่อเทียบกับ 16 สกุลเงินสำคัญของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้าเพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว
ดัชนี US Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับยูโร เยน ปอนด์ ดอลลาร์แคนาดา ฟรังค์สวิส และโครนาสวีเดน ดิ่งลง 4.2% ในปีนี้
บาร์เคลย์สระบุว่า ธนาคารกลางในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่กำลังเทขายสกุลเงินในประเทศตัวเองและเข้าซื้อดอลลาร์สหรัฐเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของสกุลเงินภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางเหล่านี้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะเพิ่มการถือครองดอลลาร์สหรัฐในระบบทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ด้วยการเทขายดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบสกุลเงินยูโรและสกุลเงินหลักๆ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า การร่วงลงของดอลลาร์สหรัฐอาจบีบให้นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rate) ภายในเดือนมิ.ย.ปีหน้า และคาดว่าเฟดจะยุติการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเข้าซื้อตราสารหนี้ภายในเดือนมี.ค.เพราะเชื่อว่าตลาดการเงินเริ่มทำงานตามกลไกปติและตลาดแรงานเริ่มมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ บาร์เคลย์คาดว่า เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายไตรมาส 3 ปีหน้า และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 2% ภายในปลายปี 2554 ขณะเดียวกันคาดว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะเริ่มใช้มาตรการคุมเข้มด้านการเงินตั้งแต่ช่วงต้นปี 2554 เป็นต้นไป