ก.เกษตรฯ เร่งให้ความรู้ตั้งรับ AFTA เชื่อช่วยดัน GDP โตเพิ่ม 1.75%ปี 58

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 28, 2009 10:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งให้ความรู้แก่เกษตรกรที่ยังไม่เข้าใจประโยชน์จากกรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน(AFTA) เนื่องจากข้อตกลงต้าง ๆ จะส่งผดีต่อไทย ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ในปี 58 เพิ่มขึ้น 1.75% หรือ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 204,000 ล้านบาท

ผลดีจากการเปิดเสรีสินค้าเกษตรในกรอบ AFTA คือไทยสามารถส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนได้มากขึ้นและสินค้าวัตถุดิบนำเข้ามีราคาถูกลง ทำให้ลดต้นทุนการผลิตเพื่อส่งออก ขณะเดียวกัน ยังทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการตื่นตัวมีการปรับตัวด้านการผลิตเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ สำหรับเกษตรกรบางสาขาอาจได้รับผลกระทบ เช่น ปลายข้าวหักที่นำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่เป็นไปตามข้อตกลง แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวในภาพรวมของประเทศ รวมถึงสินค้าชนิดอื่น

กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางรองรับการปรับตัวของภาคเกษตรและภาคเอกชนที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีอาฟต้า รวมถึงการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการบริหารการนำเข้าและควบคุมการนำเข้า เช่น กำหนดคุณสมบัติผู้นำเข้า ต้องมีใบรับรองสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชการป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านทางชายแดน เป็นต้น

อนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.53 เป็นต้นไป ประเทศไทยมีพันธะกรณีที่จะต้องยกเลิกโควตานำเข้าและลดภาษีสินค้าเกษตรภายใต้ AFTA ซึ่งประเทศไทยมีสินค้าเกษตรจำนวน 23 รายการที่จะต้องยกเลิกโควตา และลดภาษีเป็น 0% ยกเว้น เมล็ดกาแฟ มันฝรั่ง และเนื้อมะพร้าวแห้งที่ภาษีเป็น 5% ซึ่งขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศยกเลิกแล้ว 13 รายการ เหลืออีก 10 รายการอยู่ระหว่างดำเนินการ

จากข้อมูลการค้าสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับอาเซียน พบว่า ในปี 2551 ประเทศไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปยังอาเซียนจำนวนประมาณ 146,000 ล้านบาท ขณะที่การนำเข้าสินค้าจากอาเซียนมีเพียงประมาณ 44,400 ล้านบาท ไทยได้เปรียบดุลการค้าคิดเป็นมูลค่าประมาณ 102,000 ล้านบาทในภาพรวมจึงถือว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์มากกว่าในการเปิดเสรีการค้าไทยอาเซียนเนื่องจากไทยมีศักยภาพการผลิตสูงกว่าประเทศในอาเซียน

นายธีระ กล่าวว่า จากการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดสัมมนาเพื่อเผยแพร่ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นจากเกษตรกรและผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อต้องการชี้แจงข้อมูลและสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน และรับฟังความคิดเห็นซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว 3 ครั้ง คือ ที่ จ.สระแก้ว จ.เชียงราย และจ.หนองคาย พบว่า เกษตรกรยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเปิดเสรีการค้าในกรอบอาฟตา

กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร เพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการเปิดเสรีการค้าในกรอบอาฟตามากยิ่งขึ้น รวมทั้งการให้ข้อมูลการขอใช้เงินกองทุน FTA เพื่อปรับโครงสร้างการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งจะเป็นการเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ แม้ว่าเกษตรกรไทยจะมีความพร้อมระดับหนึ่ง และสามารถพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพในการแข่งขันได้ แต่กระทรวงเกษตรฯ จะให้การสนับสนุนในด้านปัจจัยพื้นฐานแก่เกษตรกร ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เช่น การจัดหาแหล่งน้ำ และพัฒนาระบบชลประทานให้เพียงพอต่อการทำการเกษตร การสนับสนุนข้าวพันธุ์ดีและปาล์มพันธุ์ดี ที่เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่และสภาพภูมิอากาศ เพื่อเพิ่มผลผลิต และต้านทานต่อโรคระบาด การส่งเสริมการทำเกษตรตามระบบ GAP และเกษตรอินทรีย์ และการกำหนดมาตรการนำเข้า ที่เข้มงวดและปฏิบัติได้จริง

ทั้งนี้ จะมีการสัมมนาอีก 1 ครั้ง ในวันที่ 28 ธ.ค.ที่ จ. กระบี่ จะนันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับปาล์มน้ำมันซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความยินดีและพร้อมที่จะนำข้อคิดเห็นที่ได้รับนำมาปรับปรุง และพัฒนามาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนให้เกิดความรัดกุม ไม่ให้ภาคเกษตรกรรมของไทยต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในสินค้าสำคัญที่หลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วง เช่น ข้าว แม้ตามข้อตกลงไทยจะไม่เสียเปรียบ เพราะนำเข้าเฉพาะข้าวเพื่อการอุตสาหกรรม คือ ข้าวหัก แต่เกรงว่าจะมีการลักลอบนำเข้ามาภายในประเทศ

กระทรวงเกษตรฯ จึงมีการเคร่งครัดในด่านชายแดนเป็นพิเศษ โดยการทำหนังสือแจ้งขอความร่วมมือจาก ด่านศุลกากร ทหารและตำรวจในการช่วยดูแล พร้อมกับต่อยอดงานวิจัยเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากข้าว และส่งเสริมการตลาดภายในประเทศอย่างจริงจังต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ