เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำของเฟดไม่ได้ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่ากฎข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยสกัดกั้นภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้
"สิ่งที่ดีที่สุดที่จะยับยั้งภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็คือการใช้กฎข้อบังคับ แทนที่จะใช้เครื่องมือด้านการเงิน ที่ผ่านมาความพยายามของเฟดในการยับยั้งภาวะฟองสบู่อาจจะช้าเกินไปหรือไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก แต่เฟดเชื่อว่าการใช้กฎข้อบังคับที่เข้มงวดถือเป็นแนวทางที่ดีกว่าและได้ผลมากกว่า" เบอร์นันเก้กล่าวในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเศรษฐกิจอเมริกัน ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแอตแลนต้า
เบอร์นันเก้กล่าวว่า เฟดกำลังดำเนินการปรับปรุงระบบการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์และใช้มาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อปกป้องลูกค้าในตลาดการเงินและตลาดสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้าน นอกจากนี้ เฟดยังได้เพิ่มการใช้นโยบายป้องกันภาวะผันผวนในตลาดสินเชื่อเพื่อการซื้อบ้านและพยายามลดตัวเลขการสำรองหนี้สูญ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้เป็นหนึ่งในแนวทางการสกัดกั้นภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ในการปาฐกถาครั้งนี้ เบอร์นันเก้ส่งสัญญาณว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะใช้วิธีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในระบบการเงิน หากการเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับใช้ไม่ได้ผล หรือให้ผลในทางตรงกันข้าม นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ยังตอบโต้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่านโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดได้ก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเขากล่าวว่า นโยบายการเงินของเฟดหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยในปี 2544 นั้น ถือเป็นนโยบายที่มีความเหมาะสมมากที่สุด และจากข้อมูลวิจัยของเฟดพบว่า ราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้นแทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินหรือระบบเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐ
สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส-ชิลเลอร์ เปิดเผยราคาบ้านใน 20 เขตเมืองของสหรัฐดีดขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า จะร่วงลง 7.2% ขณะที่ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย.ในสหรัฐพุ่งขึ้น 7.4% แตะระดับ 6.54 ล้านยูนิต มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.5% บ่งชี้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฟื้นตัวขึ้นรวดเร็วกว่าที่ประมาณการไว้ในเบื้องต้น