นายอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 52 ยังไม่ออกนอกเป้าหมายที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)กำหนดไว้ แม้ว่าบางช่วงออกนอกเป้าหมายไปบ้างจากผลของมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ และขณะนี้การเร่งตัวของเงินเฟ้อยังไม่สร้างแรงกดดันมากนัก
อนึ่ง วันนี้กระทรวงพาณิชย์ประกาศอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ธ.ค.52 ขยายตัว 3.5% ขณะที่ทั้งปี 52 เฉลี่ยอยู่ที่ติดลบ 0.9% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 0.2% และทั้งปีขยายตัว 0.3%
ส่วนในปี 53 ธปท.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 3-5% ซึ่งการที่ธปท.ปรับประมาณการเงินเฟ้อครั้งก่อน ไม่ได้คิดว่ารัฐบาลจะต่ออายุมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพออกไป แต่ก็เชื่อว่าผลของมาตรการเหล่านี้มีแค่ชั่วคราวเท่านั้น
นางอัจนา กล่าวว่า แรงกดดันจากการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อในรอบต่อไปจะมีมากแค่ไหนขึ้นกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะต้องดูการบริโภคและการใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นด้วย
รวมทั้ง ราคาน้ำมัน ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกฟื้น ความต้องการน้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ธปท.ตั้งสมมติราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปี 53 ที่ระดับ 85 เหรียญ/บาร์เรล โดยในปีนี้ราคาน้ำมันคงจะผันผวนแน่ และจะสร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ แต่ก็คิดว่ายังไม่ออกนอกเป้าหมาย
ทั้งนี้ การเร่งตัวของเงินเฟ้อไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่จะทำให้ดอกเบี้ยขยับขึ้น แต่ ธปท.จะดู second round effect ของเงินเฟ้อด้วย ตัวอย่างเช่น ต.ค.49 ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นแต่เงิเนฟ้อก็ไม่ได้สูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามนโยบายรัฐบาลที่ช่วยเหลือค่าครองชีพที่จะสิ้นสุดต้นเดือน เม.ย.53 ว่าจะมีการต่ออายุออกไปอีกหรือไม่ เพราะมีผลต่อเงินเฟ้อมาก
สำหรับกรณีของมาบตาพุด พูดถึงในแง่เม็ดเงินลงทุนกระทบต่อเศรษฐกิจไม่ม่าก เพราะถ้ารัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอื่นมาชดเชยตรงนี้ได้ ก็คงไม่มีผลออะไรมาก แต่ระยะยาวจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนและความไม่แน่นอนของการลงทุน ซึ่งส่วนนี้มีผลกระทบตอ่การลงทุนระยะยาวในแง่ผลกระทบด้านจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งธปท.ก็ประเมินผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ในปี 53 ประมาณ 0.5%