นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยว่า มีสินค้าเกษตรบางรายการที่อาจจะได้รับผลกระทบจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟต้า (AFTA) ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ เช่น ปาล์มน้ำมัน และข้าว เป็นต้น สำหรับในเรื่องข้าวแม้ว่าในภาพรวมของการเปิดเขตการค้าเสรี จะไม่ได้รับผลกระทบนัก เนื่องจากข้าวไทยเป็นตลาดข้าวคุณภาพสูง และสินค้าข้าวที่อยู่ในข้อตกลงเป็นข้าวประเภทปลายข้าวหักซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมแปรรูปจากข้าวเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯยังมีความกังวลในเรื่องข้าวที่ด้อยคุณภาพจะเข้ามายังประเทศไทย โดยการลักลอบผ่านตามแนวชายแดนซึ่งจะยากต่อการควบคุมและตรวจสอบแหล่งที่มา ทำให้เกิดผลกระทบต่อราคาข้าวของเกษตรกรได้ ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือในการควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารตามแนวชายแดนไทย ไปยังกระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมศุลกากร เพื่อป้องกันการลักลอบการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารในส่วนที่อยู่นอกเขตด่านของกระทรวงเกษตรฯ อีกทางหนึ่งด้วย
ส่วนเรื่องปาล์มน้ำมันซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันนั้น กระทรวงเกษตรฯ ได้จัดสัมมนาเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและผู้ประกอบการ เสนอแนวทางหลัก 2 ด้าน คือ ด้านกฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆ ที่จะเอื้อต่อการพัฒนาการผลิตปาล์มทั้งระบบให้สามารถแข่งขันกับตลาดต่างประเทศที่เป็นคู่แข่งหลักได้ เช่น การออกกฎหมายรองรับในเรื่องปาล์มน้ำมัน มาตรฐานปาล์มน้ำมัน การประกันรายได้ของปาล์มน้ำมันที่มีคุณภาพดีเช่นเดียวกับข้าว การจัดตั้งกองทุนปาล์มน้ำมันเช่นเดียวกับกองทุนยางพารา มีการบริหารการนำเข้าที่มีประสิทธิภาพ โดยควรนำเข้าเฉพาะน้ำมันปาล์ม เพื่อการบริโภคเท่านั้น และ กำหนดระยะเวลานำเข้าที่ชัดเจน ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาปาล์มภายในประเทศ
และด้านการผลิต โดยส่งเสริมองค์ความรู้ให้แก่เกษตรกร เช่น การใช้ปุ๋ย ดินและพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นการเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนการผลิต การส่งเสริมองค์ความรู้ในเรื่องอุตสาหกรรมปาล์มโดยเฉพาะบุคลากรที่ความเชี่ยวชาญเป็นการเฉพาะ
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ จะนำประเด็นต่างๆ ที่เกษตรกรได้เสนอมา เพื่อพิจารณาดำเนินนโยบายช่วยเหลือและสนับสนุนให้สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกรและเอื้อต่อการพัฒนาปาล์มน้ำมันของประเทศโดยเร่งด่วนต่อไป
"ในปี 51 ประเทศไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปยังอาเซียนจำนวนประมาณ 146,000 ล้านบาท ขณะที่การนำเข้าสินค้าจากอาเซียนมีเพียงประมาณ 44,400 ล้านบาท ไทยได้เปรียบดุลการค้าคิดเป็นมูลค่าประมาณ 102,000 ล้านบาท ในภาพรวมจึงถือว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์มากกว่า ในการเปิดเสรีการค้าไทยอาเซียน เนื่องจากไทยมีศักยภาพการผลิตสูงกว่าประเทศในอาเซียน โดยคาดว่าผลจากการที่อาเซียนจะลดภาษีเป็น 0% ทำให้ GDP ของไทยในปี 2558 เพิ่มขึ้น 1.75% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 204,000 ล้านบาท"นายอภิชาต กล่าว