ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) หลังจากสหรัฐ จีน อังกฤษ และยุโรป เปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่ง ซึ่งกระตุ้นนักลงทุนให้เข้าซื้อทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงกว่า รวมถึงตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะเชื่อว่าจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่าการถือครองดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.60% เมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.4409 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.4323 ยูโร/ดอลลาร์ และดิ่งลง 0.49% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 92.540 เยน/ดอลลาร์ จากระดับ 93.000 เยน/ดอลลาร์
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.41% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0299 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.0341 ฟรังค์/ดอลลาร์ และดิ่งลง 0.48% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ระดับ 1.6090 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.6168 ปอนด์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 1.69% แตะที่ 0.9122 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.8970 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้น 1.12% แตะที่ 0.7337 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7256 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
นักวิเคราะห์จากบริษัท ฟอเรนจ์ เอ็กซ์เชนจ์ อนาไลติกส์ ในรัฐคอนเน็กติกัต ดอลลาร์สหรัฐถูกดดันอย่างหนักหลังจากหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐและจีน เปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่ง ซึ่งกระตุ้นนักลงทุนให้เข้าซื้อทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงกว่าแต่ให้ผลตอบแทนมากกว่า รวมถึงตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) รายงานว่าดัชนีกิจกรรมของโรงงานทั่วประเทศในสหรัฐ ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 55.9 จุดในเดือนธ.ค. จากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 53.6 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 54.3 จุด โดยดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวในภาคการผลิต
ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของภาคการผลิตในประเทศจีน พุ่งขึ้นแตะระดับ 56.6 จุดในเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนพ.ย. ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตใน 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 21 เดือน ขณะที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตของอังกฤษทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 เดือน
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจซึ่งทางการสหรัฐจะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ รวมถึงยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนพ.ย. และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค. โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในย่านวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานประจำเดือนธ.ค.ของสหรัฐอาจลดลงเพียง 1,000 ราย ซึ่งจะเป็นสถิติที่ลดลงน้อยที่สุดนับตั้งแต่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นควบคู่กับภาวะคึกคักในตลาดแรงงาน