ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างหนักในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (5 ม.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยว่ายอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ย.ร่วงลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ และจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าดอลลาร์จะร่วงลงอีก อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์ดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่ฟื้นตัวขึ้น
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.92% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 91.700 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 92.550 เยน/ดอลลาร์ แต่ดีดตัวขึ้น 0.33% เมื่อเทียบกับยูโรที่ระดับ 1.4364 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับ 1.4411 ยูโร/ดอลลาร์
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 0.36% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ 1.0334 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.0297 ฟรังค์/ดอลลาร์ และพุ่งขึ้น 0.60% เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ที่ระดับ 1.5998 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.6095 ปอนด์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียขยับลง 0.09% แตะที่ 0.9117 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับของวันศุกร์ที่ 0.9125 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ขยับลง 0.01% แตะที่ 0.7339 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7340 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
สมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐรายงานว่า ยอดทำสัญญาขายบ้านเดือนพ.ย.ร่วงลงอย่างหนัก 16% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 9 เดือน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคาดว่าจะขยับลงเพียง 2%
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์ได้รับแรงหนุนหลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยว่ายอดสั่งซื้อในโรงงานทั่วประเทศของสหรัฐพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนพ.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า และสอดคล้องกับที่สหรัฐรายงานไว้ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐที่ขยายตัวขึ้นแตะ 55.9 จุดในเดือนธ.ค. จากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 53.6 จุด มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 54.3 จุด
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจซึ่งทางการสหรัฐจะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ รวมถึงดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า อัตราว่างงานเดือนธ.ค.ปี 2552 ของสหรัฐจะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 10.1% จากเดือนพ.ย.ที่ 10% อย่างไรก็ตาม คาดว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (non farm payrolls) ประจำเดือนธ.ค.อาจลดลงเพียง 1,000 ราย ซึ่งจะเป็นสถิติที่ลดลงน้อยที่สุดนับตั้งแต่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพราะได้แรงหนุนจากภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัว