นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) เตรียมทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เร่งชี้แจงข้อห่วงใยของนักลงทุนญี่ปุ่นตามที่องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น(เจโทร) ออกมาระบุถึงกรณีปัญหาชะลอโครงการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
ทั้งนี้ กกร.ต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาดังกล่าวให้ได้ข้อยุติภายใน 4-5 เดือน เพราะหากยืดเยื้อออกไปจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอาจทำให้มีการย้ายฐานการลงทุนไปยังประเทศอื่นแทน เนื่องจากความห่วงใยของนักลงทุนญี่ปุ่นดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่มีการทวงถามรัฐบาลว่าจะมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร
อย่างไรก็ตาม จะมีการจัดประชุมสัมมนานักธุรกิจญี่ปุ่นในระหว่างวันที่ 14-15 มี.ค.นี้ ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง กกร.จะเข้าร่วมการสัมมนาดังกล่าวด้วย คาดว่าจะมีประเด็นหลักเรื่องการทวงถามความคืบหน้าการแก้ปัญหาชะลอโครงการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดของไทย ซึ่งภายในเดือน มี.ค.นี้น่าจะมีคำตอบที่ชัดเจน
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า กรณีมีข่าวสถาบันการเงินเรียกคืนเงินกู้จากโครงการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดทั้งหมดนั้นจากการหารือกับสมาชิกสมาคมธนาคารไทยแล้ว ไม่ปรากฎว่ามีการเรียกคืนเงินกู้หรือไม่ให้นักลงทุนกู้แต่อย่างใด แต่หากโครงการใดมีปัญหาเรื่องแหล่งเงินกู้ให้ประสานมายังสมาคมธนาคารไทยได้หรือติดต่อที่ธนาคารกรุงไทย เพราะสถาบันการเงินมีความเข้าใจว่ากรณีดังกล่าวเป็นปัญหาทางด้านเทคนิคที่เกิดขึ้นชั่วคราวและเมื่อมีการแก้ไขปัญหาแล้ว เชื่อว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้
ส่วนกรณีมีข่าวกลุ่ม บมจ.ปตท.(PTT)อาจจะขอชะลอการชำระหนี้นั้น นายอภิศักดิ์ ยืนยันว่า ขณะนี้ไม่พบปัญหาอย่างที่เป็นข่าวออกมา ซึ่งผู้บริหาร ปตท.ได้ออกมายืนยันว่ามีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง และยังไม่มีการเรียกค่าปรับจากสถาบันการเงิน
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า หากโครงการลงทุนในมาบตาพุดมีความล่าช้าออกไป ทางสถาบันการเงินของไทยก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตารางการชำระเงินกู้ใหม่ พร้อมเลื่อนระยะเวลาการชำระหนี้ออกไป แต่นักลงทุนจะต้องมีภาระต้นทุนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ส่วนโครงการลงทุนของกลุ่ม ปตท.และกลุ่มปูนซีเมนต์ไทย(SCG) เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาในเรื่องต้นทุนดอกเบี้ยหรือการชำระหนี้ เพราะเมื่อเทียบขนาดธุรกิจของทั้งกลุ่มที่ลงทุนในมาบตาพุดแล้วมีสัดส่วนไม่มากนัก ทำให้มีรายได้เพียงพอที่จะมาชำระหนี้กับสถาบันการเงินได้
ขณะที่นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) มั่นใจว่า คณะกรรมการ 4 ฝ่ายฯ จะเร่งทำงานเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวได้ภายในเร็วๆ นี้ ซึ่งหากมีทิศทางการดำเนินการที่ชัดเจน เชื่อว่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ กกร.ยังได้หารือเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยมีแนวโน้มที่จะปรับลดค่าเงินลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเวียดนามและสิงคโปร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกของไทยในด้านการแข่งขัน โดยในวันที่ 14 ม.ค.นี้ หอการค้าไทย จะมีการแถลงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกครั้ง
ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบเพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจนั้น ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอยู่ และได้มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาเรื่องนี้อยู่ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในสัปดาห์หน้า แต่หากยังไม่แล้วเสร็จจะนำไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ(กรอ.)ในวันที่ 27 ม.ค.นี้