นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)วันนี้ มีมติให้ขยายเวลาการออกหนังสือรับรองเกษตรกรผู้ปลูกข้าวรอบที่ 1 ของกรมส่งเสริมการเกษตรถึงวันที่ 15 มกราคม 2553 และขยายระยะเวลาการทำสัญญาประกันรายได้ของ ธกส. ถึงวันที่ 31 มกราคม 2553 โดยอนุโลมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ทำสัญญากับ ธกส. ระหว่างวันที่ 1-31 มกราคม 2553 สามารถใช้สิทธิรับเงินชดเชยจากราคาอ้างอิง ในช่วงวันที่ 1-15 ธันวาคม 2552 ได้
ส่วนปริมาณข้าวที่ให้มีสิทธิประกันจะเป็นไปตามเดิม คือ ข้าวจ้าวและข้าวปทุม 25 ตันต่อราย, ข้าวเหนียว 16 ตันต่อราย
นอกจากนี้ ได้มีมติยืนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้(12 ม.ค) โดยให้ ธกส. ทำสัญญาประกันรายได้(รอบที่ 1)ให้แก่เกษตรกรที่กรมส่งเสริมการเกษตรแก้ไขข้อมูลทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก 34,556 ราย โดยให้ถือวันที่ได้ใบรับรองการขึ้นทะเบียนเกษตรกรครั้งแรกเป็นวันทำสัญญา
รวมทั้ง ให้ ธกส. ทำสัญญาประกันรายได้(รอบที่ 1) ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่ตกสำรวจ ซึ่งขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรหลังวันที่ 31 ตุลาคม 2552 และผ่านการทำประชาคมแล้ว 77,909 ราย โดยให้ถือวันที่เกษตรกรทำประชาคมเป็นวันทำสัญญา
ด้านนายอภิชาติ จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า จากการประเมินของสศก.คาดว่าปริมาณข้าวนาปรังจะออกสู่ตลาดประมาณ 8-9 ล้านตัน เนื่องจากปัจจัยน้ำที่มีน้อยและการแพร่ระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล จะส่งผลให้ราคาข้าวนาปรังปรับเพิ่มสูงขึ้นถึงตันละ 17,000-18,000 บาท โดยขอเตือนให้เกษตรกรไม่ควรเร่งปลูกข้าวนาปรังเพิ่มมากขึ้น เพราะปริมาณน้ำที่มีน้อยจะทำให้เกษตรกรต้องขาดทุนจากการปลูก ขณะเดียวกันราคาข้าวในตลาดได้ปรับเพิ่มขึ้นสูงมากกว่าราคาประกันที่รัฐบาลกำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชวดเงินจากโครงการและทำให้ขาดทุนเพิ่มมากขึ้นด้วย
ในการประกันรายได้ให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวในรอบแรกพบว่ารัฐบาลได้ชดเชยรายได้ให้เกษตรกรได้มากถึง 2.8 ล้านราย จากที่มาจดทะเบียนกว่า 3 ล้านคน คิดเป็นเงิน 20,000 ล้านบาทเศษ ขณะที่ในโครงการรับจำนำเมื่อปี 51/52 ได้ใช้เงินมากถึง 30,000-40,000 ล้านบาท แต่มีเกษตรกรได้รับประโยชน์เพียง 6-7 แสนรายเท่านั้น