นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุในงานสัมมนา"กรีนจีดีพี อนาคตประเทศไทย"ว่า คาดว่าใช้เวลาครึ่งปีในการแก้ไขปัญหามาบตาพุดให้มีความชัดเจนทั้งหมด หลังจากรัฐบาลเดินหน้าให้มีการปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรค 2 อย่างแต็มที่ นอกจากนี้จะมีการนำต้นแบบการแก้ไขปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดเป็นบทเรียนในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่อื่นๆอีกต่อไป
“แม้ปัญหามาบตาพุดจะคลี่คลาย แต่คงใช้เวลาครึ่งปีคงมีความชัดเจนทั้งหมด แต่ถือเป็นบทเรียนสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ต่างๆในอนาคต"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ระบุสาเหตุของปัญหาในพื้นที่มาบตาพุดไม่ได้เกิดจากข้อกฏหมาย แต่เกิดจากการไม่ยึดตามแบบแผนผังเมืองที่ได้กำหนดไว้ และเมื่อมีการปล่อยปะละเลยจนนำไปสู่การปะปนในการบริหารจัดการพื้นที่ระหว่างประชาชนและภาคเอกชน รวมถึงความย่อหย่อนไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดจากทางภาครัฐ
และจากปัญหาดังกล่าว นายกรัฐมนตรี จึงเห็นว่า หากต้องการมีการพัฒนาพื้นที่ตามแนวชายฝั่งในพื้นที่ภาคใต้(เซาท์เทิร์นซีบอร์ด) จึงมีความจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการพื้นที่ให้ดี ทำให้รัฐบาลมอบให้ทางคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)นำไปศึกษาและหาจุดสมดุล เพราะหากมีการย้ายฐานอุตสาหกรรมไปยังในพื้นที่ภาคใต้แล้วไม่มีการบริหารจัดการที่ดีการจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นรายได้หลักในพื้นที่ได้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเชื่อว่าใน 5-10 ปีข้างหน้า ธุรกิจในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรจะกลายเป็นธุรกิจที่เติบโตมากในอนาคต จึงทำให้รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญทีต้องมีการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยอยู่บนพื้นฐานการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่ดี รวมถึงต้องมีระบบสวัสดิการที่มั่นคงและการบริหารจัดการที่ดี
พร้อมกันนั้น นายกรัฐมนตรีได้ยืนยัน อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 53 ที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะโตในระดับ 3.5% ว่ามีความเป็นไปได้ จากปีก่อนที่ติดลบในระดับ 3%
ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 52 ที่ผ่านมา มีมากกว่า 14 ล้านคน โดยเฉพาะในเดือน ธ.ค.เพียงเดือนเดียวมีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 1.6 ล้านคน