นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า เงินบาทในปี 53 มีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราว 10,000 ล้านดอลลาร์ และการเกินดุลชำระเงินราว 15,000-20,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูง
ประกอบกับการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศในปีนี้ที่น่าจะมีเพิ่มขึ้นราว 5% หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 350,000-400,000 ล้านบาท โดยเป็นการเข้ามาลงทุนจากนักธุรกิจญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีนในลำดับต้นๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ซึ่งจากภาวะดังกล่าวประเมินว่าเงินบาททั้งปีนี้มีโอกาสแข็งค่าเฉลี่ยไปถึงระดับ 32.50 บาท/ดอลลาร์ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ดังกล่าว
ด้านนายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ช่วยบริหารจัดการค่าเงินบาทให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศประเทศคู่แข่งของไทย ซึ่งการที่เงินบาทแข็งค่าลงไปต่ำกว่า 33 บาท/ดอลลาร์นั้นจะทำให้เกิดความกังวลต่อผู้ประกอบการในเรื่องประสิทธิภาพการแข่งขันทางการค้า
ทั้งนี้ภาคเอกชนคงจะไม่เสนอว่าเงินบาทควรอยู่ในระดับใดจึงจะเหมาะสม เพียงแต่ขอให้ธปท.ช่วยรักษาทิศทางของค่าเงินให้อยู่ในระดับเดียวกับประเทศคู่แข่งก็ถือว่าเป็นการดีแล้ว
"มันหลุดไป(จาก 33.00 บาท/ดอลลาร์ ต้องขอท่านผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ช่วยดูแลอย่าให้มันหลุดไปมาก เพราะจะเป็นปัญหา" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
สำหรับปี 52 ที่ผ่านมาพบว่าช่วงปลายปีเงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นจากต้นปี 3.4% ขณะที่เช้านี้เงินบาทเปิดตลาดอยู่ที่ 32.97 บาท/ดอลลาร์ และล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. เงินบาทอยู่ที่ระดับ 33.86 บาท/ดอลลาร์