เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ เปิดเผยว่า กำไรสุทธิประจำไตรมาส 4 ปี 2552 อยู่ที่ระดับ 3.28 พันล้านดอลลาร์ หรือ 74 เซนต์/หุ้น เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิเพียง 702 ล้านดอลลาร์ เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจหลักทรัพย์ที่ขยายตัวแข็งแกร่ง อันเนื่องมาจากตลาดการเงินที่มีเสถียรภาพ
เจพีมอร์แกนระบุว่า ธนาคารสามารถทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 ไตรมาส ซึ่งนอกเหนือจากธุรกิจหลักทรัพย์แล้ว ปัจจัยอื่นๆที่ช่วยให้กำไรไตรมาส 4 ปี 2552 พุ่งขึ้นมาจากการบริหารจัดการด้านสินทรัพย์และธุรกิจด้านการธนาคารพาณิชย์ที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของเจพีมอร์แกนได้รับแรงกดดันอยู่บ้างจากต้นทุนสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ด้านการจ้างงานที่ยังคงวิกฤตในสหรัฐ
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า เจพีมอร์แกนจะมีกำไรสุทธิราว 2.57 พันล้านดอลลาร์ หรือ 60 เซนต์/หุ้นในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2552 โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าการที่ เจมี่ ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน สามารถนำพาธนาคารผ่านพ้นวิกฤตสินเชื่อโลกมาได้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เจพีมอร์แกนสามารถฟื้นตัวเลขกำไรให้เท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤตได้เร็วกว่าธนาคารยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ สำนักข่าวเกียวโดรายงาน