นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้รายงานในที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจต่อสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยยืนยันว่าเงินบาทยังแข็งค่าอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค และอยู่ในภาวะที่ไม่น่าหนักใจ
"ท่านผู้ว่าฯ(ธปท.) ได้นำเสนอในส่วนของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งได้นำค่าเงินของประเทศใกล้เคียงมาเปรียบเทียบกับการแข็งค่าของเงินบาทที่อาจจะแข็งค่าขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น เรายังอยู่ในระดับปานกลาง...และเมื่อเปรียบเทียบแล้วยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าหนักใจมาก" นายพุทธิพงษ์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้น 1.5% และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคถือว่าอยู่ในระดับที่แข็งค่าขึ้นไม่มาก และไม่มีความผันผวนมาก ขณะที่เงินวอนของเกาหลีแข็งค่าขึ้นสูงสุดถึง 3.3%
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุมครม.เศรษฐกิจยังมอบหมายให้ ธปท.ไปจัดทำ "Nominal Effective Exchange Rate" และ "Real Effective Exchange Rate" เพื่อเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับประเทศคู่แข่งของไทยให้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน และให้นำกลับมาเสนอรายละเอียดในการประชุมครั้งหน้า
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงในที่ประชุมครม.เศรษฐกิจถึงความจำเป็นที่ให้ ธปท.ไปจัดทำรายงานดังกล่าว เนื่องจากมีผู้ส่งออกและผู้ประกอบการของไทยสอบถามกันมากเรื่องค่าเงิน โดยแสดงความกังวลว่าเงินบาทของไทยจะแข็งค่ามากกว่าประเทศอื่นๆ และทำให้ไทยเสียเปรียบทางการค้ากับประเทศคู่แข่งได้
"นายกฯ ขอให้ทำ(การเปรียบเทียบค่าเงิน) เพราะผู้ส่งออกมักสอบถามเรื่องค่าเงิน กลัวว่าจะแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน...ที่ให้ทำเพราะจะเปรียบเทียบค่าเงินบาทกับประเทศคู่ค้า เพื่อให้เห็นอย่างชัดเจน เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว เงินบาทอาจไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า" นายพุทธิพงษ์ ระบุ
นอกจากนี้ผู้ว่าฯ ธปท.ได้รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ส่งผลให้แนวทางการดำเนินนโยบายและการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศมีความผันผวนมากขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ภาคเศรษฐกิจไทยจะเห็นได้ว่ามีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภาคเอกชน, ภาคการท่องเที่ยว, ภาคการเกษตร และการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่แรงกดดันต่อเงินเฟ้อจากด้านอุปสงค์ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แต่ธปท.ประเมินว่าปีนี้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากราคาน้ำมัน, การยกเลิกมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชน และจากผลของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่ง ธปท.จะติดตามแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด