นักวิเคราะห์ชี้จีนจำเป็นต้องควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียน เชื่อแบงก์ชาติขึ้นดบ.ไม่เกินเดือนเม.ย.

ข่าวต่างประเทศ Thursday January 21, 2010 16:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

การที่ธนาคารกลางจีนกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มการกันสำรองเงินฝากอย่างเหนือความคาดหมายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างเกี่ยวกับนโยบายการเงินของจีนในอนาคต

สำนักข่าวซินหัวจึงได้สอบถามนักวิเคราะห์บางส่วนเกี่ยวกับมุมมองที่มีต่อเรื่องนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์หลายรายก็เชื่อว่า มาตรการดังกล่าวซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในประเทศนั้น เป็นสิ่งที่จีนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากธนาคารกลางจีนได้ติดตามสถานการณ์เรื่องราคาเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และก็เล็งเห็นว่าราคามีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้

โดยปัจจุบัน ธนาคารกลางจีนต้องตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กล่าวคือในด้านหนึ่ง เศรษฐกิจจีนอาจสูญเสียปัจจัยกระตุ้นถ้าการปล่อยสินเชื่อถูกบีบ แต่ในอีกด้านหนึ่ง ถ้ามีสภาพคล่องมากเกินไป จีนก็อาจจะต้องเผชิญกับราคาเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็มีแนวโน้มที่ธนาคารกลางจีนจะจัดการกับปริมาณเงินหมุนเวียนอย่างเข้มงวดมากขึ้น

ข้อมูลจากแบงก์ชาติจีนชี้ว่า ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ในปี 2552 อยู่ที่ 9.59 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 4.69 ล้านล้านหยวนจากปี 2551 และในเดือนธ.ค.2552 ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่พุ่งแตะ 3.798 แสนล้านหยวน ซึ่งสูงเกินคาดการณ์ของตลาด

ในวันนี้ ธนาคารกลางจีนประกาศขึ้นดอกเบี้ยตั๋วเงินคลังอายุ 3 เดือนเป็น 1.4088% จากระดับ 1.3684% ในสัปดาห์ก่อน หลังจากที่ใน 2 สัปดาห์ก่อน แบงก์ชาติจีนได้ขึ้นดอกเบี้ยตั๋วเงินคลังอายุ 1 ปี 0.166% ซึ่งเป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการดูดซับสภาพคล่องส่วนเกิน และคุมเข้มปริมาณเงินหมุนเวียน โดยในช่วง 14 สัปดาห์ติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน ธนาคารกลางได้ถอนเงินออกจากระบบไปแล้ว 9.53 แสนล้านหยวน ซึ่งเป็นการดำเนินการผ่านตลาดเงิน (Open Market Operations : OMOs)

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นมาตรการคุมเข้มตลาดการเงินล่าสุดในบรรดามาตรการต่างๆที่แบงก์ชาติจีนได้ประกาศใช้ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อาทิ การควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในประเทศซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็ว และการเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ 0.5% ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันจันทร์ที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากหวั่นเกรงว่าการขยายตัวของสินเชื่อที่สูงเกินไปจะส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อและภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์

จาง เจียนหัว ผู้อำนวยการสำนักวิจัยในสังกัดธนาคารกลางจีน กล่าวว่า จีนตัดสินใจใช้วิธีเพิ่มสัดส่วนสำรองเงินฝากธนาคารพาณิชย์เพื่อควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนที่มีอยู่มากเกินไปในระบบ แทนที่จะใช้วิธีควบคุมเข้มสภาพคล่องในเศรษฐกิจที่แท้จริง พร้อมกล่าวด้วยว่า เป็นเรื่องอันตรายสำหรับจีนที่จะรักษาปริมาณเงินทุนมหาศาลเอาไว้ในระยะยาว

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บางรายยังคาดการณ์ด้วยว่า แบงก์ชาติจีนอาจขึ้นดอกเบี้ย ถ้าเศรษฐกิจของประเทศร้อนแรงเกินไป

โดยในวันนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4 ปี 2552 ขยายตัว 10.7% จากปีก่อนหน้า ซึ่งมากกว่าไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 8.9% และเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาสที่จีดีพีจีนโตในระดับตัวเลข 2 หลัก ส่วนจีดีพีปี 2552 ขยายตัว 8.7% คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 33.54 ล้านล้านหยวน หรือ 4.91 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ ยังได้มีการเปิดเผย ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ขยายตัวขึ้น 1.9% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนธ.ค.2552 ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 13 เดือน

เจียง เฉา นักวิเคราะห์จากกั๋วไท่ จวินอัน ซีเคียวริตี้ คาดการณ์ว่า แบงก์ชาติจีนอาจขึ้นดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในช่วงปลายเดือนนี้หรืออย่างช้าที่สุดในช่วงปลายเดือนเม.ย. เนื่องจากการขยายตัวของจีดีพีที่สูงกว่า 10% นั้นกำลังบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป

หลี่ เตากุย ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยชิงหัว คาดการณ์ว่า จีดีพีของจีนจะขยายตัวมากกว่า 9% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง รวมทั้งประเมินว่า จีดีพีจะโต 8.7% ตลอดปี 2553 และดัชนีราคาผู้บริโภคจะปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ ในอัตราเฉลี่ย 2.6% ต่อไตรมาส


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ