นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)กล่าวว่า ในวันที่ 27 ม.ค.ภาคเอกชนจะหยิบยกประเด็นการแก้ปัญหาการชะลอโครงการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ(กรอ.) โดยมีข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตโครงการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดดำเนินการแก้ปัญหาให้มีความชัดเจน
"สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) จะต้องชี้ชัดว่าโครงการใดไม่ต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) เช่นเดียวกันหน่วยงานที่ออกใบอนุญาตอื่นๆ เช่น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.), กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมธุรกิจพลังงาน จะต้องตีความและให้เกิดความชัดเจนในเรื่องการออกใบอนุญาตดำเนินกิจการ" นายพยุงศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีต้องสั่งการให้ภาครัฐและเอกชนดำเนินการเพื่อหาข้อสรุปดังกล่าวให้เกิดความชัดเจนภายใน 15 วัน เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งศาลปกครองหลังจากถูกยกคำร้อง
รองประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ภาครัฐจะต้องกำหนดเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในการให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการตามที่ศาลสั่งมา 4 ประเด็น และกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐทั้งหมดดำเนินการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
"กรณีที่ สผ.ชี้ชัดว่าไม่ต้องทำอีไอเอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องนำข้อมูลไปใช้ประกอบการให้ใบอนุญาต และหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งวินิจฉัยและปฎิบัติตามกรอบกฎหมาย และอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น หากเป็นโครงการที่ไม่เข้าข่าย 8 กิจการรุนแรงตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมก็ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้ และหากเป็นโครงการที่ไม่เข้าข่ายตามกฎหมาย หน่วยงานของรัฐก็สามารถวินิจฉัยเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปได้เลย แต่ถ้าจำเป็นต้องยื่นต่อศาลก็ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อยกเลิกการคุ้มครอง"นายพยุงศักดิ์ กล่าว
รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ผู้ประกอบการยังต้องการให้รัฐบาลเร่งผลักดันกระบวนการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 ตามกรอบที่กำหนดให้เสร็จภายใน 5 เดือน และต้องการให้ผลักดันกระบวนการจัดตั้งองค์การอิสระโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม การยื่นข้อมูลขอทบทวนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของทั้ง 30 โครงการลงทุนนั้น เริ่มยื่นตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค.52 และมีการยื่นมากขึ้นในช่วงครึ่งเดือนแรกของปีนี้ โดยผู้ประกอบการยืนยันว่าเป็นการยื่นข้อมูลครบถ้วนทุกด้านแล้ว