นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณีปัญหามาบตาพุดว่า ภาครัฐจะต้องเร่งออกกฎกติกา และหลักเกณฑ์ ทั้งการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ)และผลกระทบด้านสุขภาพ(เอชไอเอ)ให้ชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้เอกชนเดินหน้าโครงการต่อไปได้ โดยควรต้องทำให้จบภายใน 4-5 เดือน เพราะหากล่าช้าออกไปจะทำให้นักลงทุนต่างชาติ เกิดความไม่มั่นใจและเป็นอุปสรรคในการพิจารณาลงทุนในไทยต่อไป
ทั้งนี้ ภาคเอกชนไทย จะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมกับภาคเอกชนญี่ปุ่นในระหว่างวันที่ 14-15 มีนาคมนี้ ซึ่งนักลงทุนญี่ปุ่น จะสอบถามถึงประเด็นดังกล่าวด้วย ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างความชัดเจนให้ได้ก่อนกลางเดือนมีนาคม พร้อมทั้งแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาร่วมกันกับภาคเอกชน
นอกจากนี้ ที่ประชุม คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ยังได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและคณะกรรมการ กรอ. จังหวัด ศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาการยกเลิกเที่ยวบินประจำของสายการบิน รวมทั้งกำหนดมาตรการสนับสนุนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางทางอากาศมากขึ้น และหามาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการสายการบินเข้ามาให้บริการในเส้นทางที่ยกเลิก หรือที่ยังไม่มีสายการบินให้บริการเที่ยวบินประจำ
ด้านนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาแล้ว แต่ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้มาก เพราะเป็นเรื่องข้อกฎหมายและต้องปฎิบัติตามคำสั่งศาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้มีการออกเป็นพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อม และจะเสนอให้ทันการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยนี้
นายไตรรงค์ กล่าวด้วยว่า การที่คณะรัฐมนตรี มีมติให้จัดตั้งศูนย์บริการการลงทุนเบ็ดเสร็จ (ONE START ONE STOP) หรือ OSOS และการเร่งจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ และผลกระทบด้านสุขภาพ หรือ เอชไอเอ การจัดตั้งองค์การอิสระ และการรับฟังคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง เป็นสิ่งที่ดำเนินการมาถูกทางแล้ว อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวต้องการให้การแก้ปัญหามาบตาพุดแล้วเสร็จ ภายใน 5 เดือน
ส่วนการยื่นคำร้องขอต่อศาลอีกครั้งของทั้ง 30 โครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับอัยการสูงสุดให้เป็นศูนย์กลางดูแลเรื่องข้อกฎหมาย แต่จะเป็นผู้ยื่นฟ้องแทนเอกชนหรือไม่จะต้องหารือกันก่อน