สศอ.เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ธ.ค.52 เพิ่มขึ้น 30.7%,ทั้งปีติดลบ 7%

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 27, 2010 15:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมชาย หาญหิรัญ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.)เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค.52 เพิ่มขึ้น 30.7% เมี่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการปรับตัวที่สูงมาก โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 61.8%

และเมื่อพิจารณาตัวเลขเฉลี่ยทั้งปี 52 ดัชนีอุตฯ ติดลบ 7.2% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่ สศอ.เคยคาดการณ์ไว้คือ จะติดลบ 8-9% เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีเสถียรภาพมากขึ้น หลังจากมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจของทั่วโลกเริ่มเห็นผล ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น

ขณะเดียวกันนักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูงขึ้นส่งผลต่อการขยายกำลังการผลิต หลังจากได้รับคำสั่งซื้อกลับเข้ามา รวมทั้งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในของรัฐบาล มีความชัดเจนมากขึ้น จึงทำให้ภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นส งดังกล่าว โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลต่อการขยายตัวของดัชนีอุตฯ ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการผลิต Hard Disk Drive ยานยนต์ น้ำตาล และอุตสาหกรรมการผลิตเหล็ก

นายสมชาย กล่าวว่า การผลิต Hard disk drive เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นมากถึง 91.4% และ 68.1% เนื่องจากเมื่อปีก่อนเริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่แทบจะปรับตัวไม่ทัน จึงส่งผลต่อภาวะการจ้างงานที่ทำให้หลายแห่งมีการปรับลดพนักงานลงอย่างมาก

แต่สำหรับปีนี้ทิศทางการฟื้นตัวกลับเข้ามาแล้วตั้งแต่เดือน พ.ย.52 ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเริ่มมีคำสั่งซื้อล่วงหน้ากลับเข้ามาส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากประเทศคู่ค้าหลักมั่นใจประเทศศักยภาพของประเทศไทยในฐานะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก สามารถรับคำสั่งซื้อคราวละมากๆและส่งสินค้าได้ทันตามกำหนด สำหรับภาวะการผลิตและจำหน่ายสะสมในปี 52 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.0% และ 4.3% เมื่อเทียบกับปี 51

การผลิตยานยนต์ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายขยายตัวเพิ่มขึ้น 25.5%และ 26.5% ตามลำดับ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากขึ้น อีกทั้งช่วงปลายปีค่ายรถต่างออกมาตรการกระตุ้นตลาด หลากหลายรูปแบบเพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจง่ายขึ้น โดยอีกทั้งตลาดส่งออกกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากซบเซาตลอดปี ซึ่งยอดการจำหน่ายรถปิคอัพขนาด 1 เพิ่มขึ้น 23.9% ขณะที่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลขยายตัวเพิ่มขึ้น 15.1%

ขณะที่ทั้งปีในปี 52 ปริมาณการผลิตรถยนต์ 999,378 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28.31% เป็นการผลิตร ถยนต์นั่ง 313,442 คัน รถกะบะ 670,734 คัน ลดลง 21.43% และ 31.9% ตามลำดับ โดยมียอดขายในประเทศ 548,871 คัน ลดลง 10.8% ส่งออก 535,563 คัน ลดลง 31.01% สำหรับแนวโน้มปี 2553 คาดว่าจะมียอดการผลิตและจำหน่ายเป็นไปอย่างคึกคัก ทั้งตลาดรถปิ๊คอัพและตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก

การผลิตน้ำตาล เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตน้ำตาลโดยรวมอยู่ที่ 1,486,367.60 ตัน เพิ่มขึ้น 36.5% ซึ่งแบ่งเป็น น้ำตาลทรายดิบ 1,020,120.29 ตัน เพิ่มขึ้น 31.8% น้ำตาลทรายขาว 457,300.33 ตัน เพิ่มขึ้น 46.1% จากอ้อยเข้าหีบ 16,602,922.41 ตัน เพิ่มขึ้น 35.7% โดยฤดูกาลผลิตปี 52/53 เกษตรกรมีการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้น และทิศทางราคาน้ำตาลโลกปีนี้ค่อนข้างดี ซึ่งคาดว่าจะมีผลผลิตอ้อยจำนวน 74.9 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากฤดูการผลิต 51/52 คิดเป็น 11.6%

การผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและจำหน่ายโดยรวมเพิ่มขึ้น 58.1% และ 50.7% ตามลำดับ เนื่องการปรับตัวที่ดีของเศรษฐกิจโลกและมาตรการกระตุ้นต่างๆภายในประเทศ ทำให้มีความต้องการเหล็กในอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มปี 53 คาดว่าจะมีการขยายตัวได้ดีในทุกผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐในโครงการ “ไทยเข้มแข็ง"

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมทั้งปีถึงแม้ว่าอัตราการ ขยายตัวของดัชนีอุตฯ จะติดลบ 7% แต่ที่มีสัญญาณขยายตัวที่เป็นบวกมาตลอด 3 เดือนสุดท้ายโดยอัตราการขยายตัวในไตรมาสที่ 4 สูงถึง 11.5% และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามต้องเฝ้าดูผลแนวโน้มของค่าเงินบาทและการปรับตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบางโดยเฉพาะการขาดดุลงบประมาณอย่างมหาศาลของสหรัฐอเมริกาที่อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดรายจ่ายลง

อนึ่ง ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค.52 ดัชนีผลผลิต (มูลค่าเพิ่ม) อยู่ที่ 194.66 เพิ่มขึ้น 30.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน, ดัชนีผลผลิต(มูลค่าผลผลิต) อยู่ที่ 191.51 เพิ่มขึ้น 30.4% ,ดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ 192.63 เพิ่มขึ้น 27.0%, ดัชนีแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ 113.25 เพิ่มขึ้น 2.2% ดัชนีผลิตภาพแรงงานในภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ 199.83 เพิ่มขึ้น 54.7%

ขณะที่ ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง อยู่ที่ 171.69 ลดลง 13.3%, ดัชนีอัตราส่วนสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง อยู่ที่ 167.32 ลดลง 31.3% โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 61.8%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ