นายโย จิซึคาตะ ประธานหอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ(JCC) กล่าวว่า นักลงทุนญี่ป่นมีความเป็นห่วงเรื่องการลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เพราะเกือบ 1 ใน 3 ของการลงทุนจากญี่ปุ่นอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน และเร่งแก้ปัญหาให้ได้ข้อยุติภายใน 6 เดือน เพราะบรรยากาศการลงทุนในไทยยังดีอยู่
"หากการแก้ปัญหาล่าช้าออกไปอีกอาจส่งผลให้นักลงทุนญี่ปุ่นต้องกลับมาทบทวนอีกครั้งว่าจะลงทุนในไทยต่อไป หรือย้ายฐานการลงทุนไปประเทศอื่นหรือไม่ แต่ในขณะนี้นักลงทุนญี่ปุ่นยังยืนยันที่จะลงทุนในไทย เพราะเห็นว่า สถานการณ์ยังอยู่ในภาวะปกติ" นายโย กล่าวภายหลังการหารือประจำปีระหว่างภาครัฐและ JCC
ด้านนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้ชี้แจงให้หอการค้าญี่ปุ่นได้เข้าใจแนวทางแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการแล้ว 4 อย่าง คือ การเร่งออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ, การตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่ายเพื่อหาข้อยุติ, การตั้งคณะกรรมการกลางเพื่อแก้ไขปัญหามาบตาพุดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคสอง และเร่งออกเป็น พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม ให้ทันเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
"หอการค้าญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่ยังต้องการเห็นความชัดเจนภายใน 6 เดือน โดยยืนยันว่ายังไม่ถอนการลงทุนในไทย และพร้อมขยายการลงทุน เพราะเห็นว่า ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตในทุกด้านของเอเชีย" นายชาญชัย กล่าว
ขณะที่นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กล่าวว่า JCC จะตั้งคณะกรรมการร่วมกับกรมสรรพากร เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาการจัดเก็บภาษีในการทำธุรกรรมของบริษัทแม่ในญี่ปุ่นที่เข้ามาทำธุรกรรมผ่านสำนักงานในไทย
ส่วนปัญหาเกี่ยวกับการทำงานร่วมกับกรมศุลกากร ที่นักลงทุนเห็นว่าการประเมินพิกัดศุลกากร การให้สินบนนำจับ รวมถึงบทลงโทษ ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลนั้น ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเดินหน้าแก้ไข พ.ร.บ.ศุลกากร ซึ่งจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยจะจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอบอร์ดบีโอไอพิจารณาภายในช่วงปลายเดือน ก.พ.นี้