ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ แถลงงบประมาณประจำปี 2553 มูลค่ารวม 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมุ่งเน้นการนำงบประมาณไปใช้ในการสร้างงานเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการขึ้นภาษีบุคคลร่ำรวยและลดยอดขาดดุลงบประมาณ
ในรายงานการแถลงนโบบายประจำปีครั้งนี้ โอบามาคาดว่ายอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐจะพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ จากระดับ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2552 ส่วนยอดขาดดุลงบประมาณในปีหน้าจะอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์
โอบามาตั้งเป้าว่าจะชดเชยรายได้ของรัฐบาลกลางสหรัฐให้ได้มากกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ผ่านการระงับโครงการของรัฐหลายโครงการ และผ่านการขึ้นภาษีสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้สูงกว่า 250,000 ดอลลาร์/ปี และเก็บค่าธรรมเนียมจากธนาคารที่ได้ประโยชน์จากการช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะทำให้จัดเก็บรายได้มากกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมกับยกเลิกนโยบายลดหย่อนภาษีอุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน
ทั้งนี้ โอบามากล่าวที่ทำเนียบขาวว่า "งบประมาณปี 2553 สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายอันใหญ่หลวงของสหรัฐ เรากำลังอยู่ในยุคสงครามเศรษฐกิจ สหรัฐต้องสูญเสียตำแหน่งงานไปถึง 7 ล้านตำแหน่งในช่วง 2 ปีที่แล้ว และรัฐบาลมีหนี้สินมากมายหลังจากใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากนานนับทศวรรษ"
งบประมาณประจำปี 2553 ของโอบามาคิดเป็นร้อยละ 25.1 ของตัวเลขจีดีพี ใกล้เคียงกับงบประมาณปี 2526 ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ที่ใช้งบประมาณ 8.08 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 23.5 ของตัวเลขจีดีพี เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐในยุคนั้นเผชิญกับภาวะถดถอยเช่นกัน
การแถลงงบประมาณประจำปี 2552 ของโอบามามีขึ้นหลังจากการแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยโอบามาให้คำมั่นสัญญาว่าจะเดินหน้าแผนการยกเครื่องระบบประกันสุขภาพ และผลักดันงบประมาณการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างงาน โอบามากล่าวว่า รัฐบาลต้องมีความพร้อมที่จะรับมือกับความเสี่ยงและวิกฤตการณ์ต่างๆที่อาจส่งผลให้สหรัฐล้าหลังในตลาดโลก พร้อมกำหนดเป้าหมายระดับชาติของสหรัฐที่ครอบคลุมถึงการผลักดันให้การส่งออกของสหรัฐเพิ่มขึ้น 2 เท่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อช่วยสร้างงานในสหรัฐ โดยโอบามาเชื่อมั่นว่า สหรัฐมีแนวโน้มที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านตำแหน่งในปีนี้