นายวิกรม วัชรคุปต์ ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปริมาณการใช้เหล็กของไทยมีปี 53 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 15-20% คิดเป็นปริมาณ 11.5-13 ล้านตัน เนื่องจากโครงการก่อสร้างภายใต้งบลงทุนไทยเข้มแข็งจะเป็นรูปธรรมมากขึ้น และเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก
ส่วนราคาเหล็กปีนี้จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยเหล็กรีดร้อนราคาอยู่ที่ 500-600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน แม้ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกยังมีความผันผวนแต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาเหล็ก
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ จะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาราคาเหล็ก ยกเว้นเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น
นายวิกรม กล่าวด้วยว่า ความคืบหน้าโครงการลงทุนผลิตเหล็กต้นน้ำ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาพื้นที่ที่เหมาะสม โดยมองภาคตะวันออกและภาคใต้ เช่น จังหวัดระยองและจันทบุรี ซึ่งจะพัฒนาเป็นเมืองใหม่ หรือ Eco Industrial Town เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรม
โครงการดังกล่าวจะต้องมีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)และผลกระทบด้านสุขภาพ(HIA)ซึ่งภายใน 1-2 สัปดาห์นี้จะเริ่มทำงานกับทีมที่ปรึกษา และคาดว่าภายใน 6 เดือนจะเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาได้ และเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นหลักเกณฑ์เรื่องการจัดทำ EIA และ HIA ของภาครัฐจะมีการชัดเจนมากขึ้น
นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำมีความคืบหน้าไปมากแล้ว โดยมอบหมายสถาบันเหล็กกล้าเป็นผู้ดำเนินการ และคาดว่าเมื่อดำเนินแล้วเสร็จจะมีมูลค่าโครงการมากกว่า 800,000 ล้านบาท
ส่วนความคืบหน้าการออกพระราชบัญญัติเมืองอุตสาหกรรมใหม่ ขณะนี้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมเหล็ก คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในเดือนมีนาคมนี้ ก่อนเสนอของบประมาณดำเนินการจากคณะรัฐมนตรีต่อไป