นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ปรับประมาณการณ์ปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าในปี 2553 ใหม่ จาก 4% เป็น 4.72% หรือประมาณ 151,000 ล้านหน่วย และปรับคาดการณ์การใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือ พีค เพิ่มขึ้นเป็น 5.21% จากเดิม 3.5% หรือประมาณ 23,000 เมกะวัตต์ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว และเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทย ปีนี้จะขยายตัวประมาณ 3.5%
สำหรับปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าในเดือน ม.ค. 53 มีจำนวนเท่ากับ 12,281 ล้านหน่วย ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. 52 ปรับตัวสูงขึ้น 2,132 ล้านหน่วยหรือคิดเป็น 21.01% เป็นผลมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่องและกระจายตัวในแต่ละภาคเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากนี้ด้านสภาพอากาศโดยทั่วไปในเดือน ม.ค.53 ก็มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าในปีที่ผ่านมาอีกด้วย
ทั้งนี้ คาดว่า การใช้ไฟฟ้าสูงสุดในปีนี้จะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน เพราะเป็นช่วงที่สภาพอากาศจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าทุกเดือน โดย กฟผ. เตรียมแผนรองรับการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น คือ การเตรียมกำลังการผลิต ซึ่งจะมีโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ กำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 จากลาว กำลังผลิต 920 เมกะวัตต์ เข้าระบบในปีนี้ รวมทั้งการเดินหน้ามาตรการส่งเสริมการประหยัดพลังงาน ทำให้คาดว่า จะมีไฟฟ้าเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ โดยมีกำลังสำรองไฟฟ้าสูงถึง 20% เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าถึง 70% จึงควรกระจายการใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นมากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ถึงแม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพและปัญหามาบตาพุด
สำหรับสรุปปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าปี 52 ที่ผ่านมารวมทั้งสิ้นจำนวน 145,233 ล้านหน่วย เมื่อเปรียบเทียบกับ ปี 51 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 5.5 ล้านหน่วย หรือคิดเป็น 0.004% สาเหตุหลักมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีแรกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทุกภาคส่วน แต่จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทำให้ครึ่งปีหลังสภาวะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยสะท้อนจากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เริ่มเป็นบวกในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 52