นางสาวนวพร มหารักขกะ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ปี 52 อยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะไตรมาส 4/52 สินเชื่อธนาคารพาณิชย์มีสัดส่วนประมาณ 70% ของรายได้ในระบบธนาคารพาณิชย์
สินเชื่อโดยรวมปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ที่มีสัดส่วน 57% สินเชื่อธุรกิจขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.3% ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลขยายตัว 8% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 14% แต่ถือว่ายังเป็นการขยายตัวเป็นบวกตลอดปี
ด้านฐานะเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 16.1% และมีความสามารถในการทำกำไรดี ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีการแข่งขันกันมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากสภาพคล่องที่ผ่อนคลายขึ้น โดยอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากรวมตั๋วแลกเงินของทั้งระบบในเดือนอยู่ที่ 85.8% ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 88.3%
"ขณะนี้คนฝากเงินเริ่มเปลี่ยนไปลงทุนในหลักทรัพย์อื่น เช่น ตราสารหนี้ ตราสารทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งในปี 52 ที่ผ่านมา ภาคเอกชนมีการออกตราสารหนี้สูงถึง 1.9 แสนล้านบาท เทียบกับปี 51 มีเพียง 8 พันล้านบาท โดยส่วนตัวมองว่าธนาคารพาณิชย์จะแข่งขันระดมทุนกับตลาดอื่นที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/52"นางสาวนวพร กล่าว
สำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ยังมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง โดยปี 53 มียอด NPL คงค้าง 3.76 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อนจำนวน 2.1 หมื่นล้านบาท โดย NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ยังไม่หักกันสำรองอยู่ที่ 4.8% และที่หักกันสำรองแล้วเหลือ 2.7% จากการชำระหนี้ที่ลูกหนี้ขอปรับโครงสร้างหนี้และการโอนหนี้เป็นปกติ เนื่องจากธนาคาพาณิชย์เพิ่มความระมัดระวังในการติดตามดูแลคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยจะไม่มีจุดอ่อนเรื่องการกู้เงินของภาคธุรกิจที่เกินตัว แต่ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงภายในและภายนอกประเทศที่อาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไปที่อาจส่งผลให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศมีความผันผวนมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ต้องติดตามในระยะยาว