นายวรพล โสคติยานุรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ระบุว่า แม้ปัจจัยการเมืองจะมีส่วนช่วยชี้ชะตาเศรษฐกิจ เพราะมีผลต่อการกำหนดและผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจก็ตาม แต่การจะรอให้การเมืองนิ่งก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้นย่อมไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง เพราะทุกคนต่างอยากให้การเมืองนิ่ง แต่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็ต้องทำควบคู่กันไป
สำหรับปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นความเสี่ยงสำคัญของประเทศในขณะนี้ คือ ปัญหาด้านการคลังซึ่งมีผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐต้องกู้เงินจำนวนมากมาลงทุน, การตั้งงบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุลในปี 54 ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศหากเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นตัวตามคาด
ดังนั้นรัฐบาลต้องกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศโดยลงทุนอย่างคุ้มค่าสอดคล้องตามยุทธศาสตร์ และไม่ก่อหนี้เพิ่ม รวมทั้งการคุมรายจ่ายอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสวัสดิการต่างๆ และนโยบายประชานิยม นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องลดบทบาทของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจและหันมาขับเคลื่อนผ่านเอกชนและรัฐวิสาหกิจให้มากขึ้น
พร้อมมองว่า จากนี้ไปการใช้จ่ายเงินของรัฐจะต้องเกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า ไม่รั่วไหล และเป็นการลงทุนที่มียุทธศาสตร์จึงจะยกระดับความสามารถของประเทศขึ้นได้ ซึ่งการเลือกโครงการลงทุนถือว่ามีความสำคัญมาก โดยต้องเลือกลงทุนในโครงการที่ก่อให้เกิดการหมุนของเงินได้หลายรอบ
นายวรพล กล่าวว่า จากปัญหาเศรษฐกิจระดับโลกที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่มั่นคงเพียงพอ โดยเฉพาะความกังวลล่าสุดต่อเศรษฐกิจในยุโรปที่หลายประเทศใช้มาตรการการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้หนี้สาธารณะสูงขึ้น จนอาจทำให้หลายประเทศในสหภาพยุโรปเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่นั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวทั้งยุโรปและสหรัฐฯ อาจเป็นโอกาสของประเทศในแถบเอเชีย
ดังนั้นรัฐบาลควรกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศให้สอดคล้องกับทิศทางดังกล่าว ในฐานะที่ไทยได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ตั้งอยู่ศูนย์กลางของเอเชีย มีประชาชนมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก ไทยจึงต้องวางยุทธศาสตร์ในการเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาคเอเชีย เช่นศูนย์กลางโลจิสติกส์, ศูนย์กลางการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชียมากขึ้น
"การจะเป็นศูนย์กลางหรือเกตเวย์ได้ จะต้องเร่งลงทุนพัฒนาเครือข่ายด้านการขนส่งให้ครอบคลุมทั่วประเทศและเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน สร้างแรงจูงใจด้านภาษีให้แก่ผู้ลงทุน เพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคนี้ เป็นการรองรับกระแสมุ่งตะวันออก(Go East) ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปที่ตกต่ำลง" นายวรพล กล่าว