นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน และวันวาเลนไทน์ในวันที่ 14 ก.พ.53 คาดว่า จาก 2 เทศกาลดังกล่าวจะมีเงินสะพัดราว 3.9 - 4 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 0.2% ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวจะมาจากการใช้จ่ายช่วงเทศกาลตรุษจีน 36,264 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4.4% และการใช้จ่ายวันวาเลนไทน์ 2,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.35% ซึ่งขยายตัวต่ำสุดในรอบ 3 ปี
"บรรยากาศตรุษจีนและวาเลนไทน์ปีนี้ไม่คึกคักมากนัก ประชาชนยังระวังการใช้จ่าย ซื้อสินค้าปริมาณเท่าเดิม เพราะยังวิตกเรื่องของแพง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน รอแรงกระตุ้นรายได้และเศรษฐกิจจากการใช้เงินของภาครัฐ รวมถึงความวิตกจากปัญหาการเมือง และความขัดแย้งในการแก้ปัญหามาบตาพุด แต่ส่วนใหญ่กว่า 80% ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้" นายธนวรรธน์ กล่าว
นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เม็ดเงินที่คาดจะสะพัดช่วงตรุษจีนถึง 36,264 ล้านบาทนั้น หากเฉลี่ยต่อคนพบว่าจะใช้เพื่อการเซ่นไหว้เจ้ามากที่สุดถึงคนละ 2,486 บาท รองลงมาคือทำบุญ 1,367 บาท และซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 2,873 บาท อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสอบถาม 57% ระบุซื้อสินค้าปริมาณเท่าเดิม แต่อีก 33% ระบุลดการใช้จ่าย เพราะของมีราคาแพงขึ้น
ด้านนางยาใจ ชูวิชา ประธานคณะจัดทำการศูนย์สำรวจความคิดเห็นประเด็นธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายวันวาเลนไทน์ว่า หากเทียบผลสำรวจย้อนหลัง 5 ปีพบว่าคนไทยถึง 44% ให้ความสำคัญต่อวันวาเลนไทน์มากขึ้น และเห็นว่าบรรยากาศไม่คึกคัก เพราะของแพงขึ้น เศรษฐกิจแย่ลง และปัญหาการเมืองขาดเสถียรภาพ
ส่วนเมื่อถามถึงทัศนะเกี่ยวกับกลุ่มเสี่ยงที่จะมีเพศสัมพันธ์วันวาเลนไทน์นั้น อันดับ 1 คือ นักศึกษา รองลงมาคือ นักเรียน และคนโสดวัยทำงาน โดยใช้สถานที่บ้านที่ไม่มีใครอยู่ หอพัก และโรงแรมม่านรูด
สำหรับทัศนะต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานนั้น 36.5% เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา อีก 21.5% เห็นว่าไม่ควรทำ ส่วนอีก 42% ระบุแล้วแต่มุมมอง ขณะที่เมื่อถามถึงการยอมรับต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานพบว่า กลุ่มที่ยอมรับได้และยอมรับไม่ได้เท่ากันที่ 50% เมื่อเจาะเฉพาะอายุ 19-39 ปีเกิน 55% ระบุว่ายอมรับได้หากมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน สะท้อนถึงแนวคิดของวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ที่ต่างไปจากอดีต ซึ่งเป็นประเด็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลต้องพิจารณาแก้ไขต่อไป
ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวมาจากความคิดเห็นประชาชน 1,218 ราย ในระหว่างวันที่ 2-8 ก.พ.53