ม.หอการค้าไทยฯ คาดยอดขายโดยรวมครึ่งปีหลังโต 7-10% โดยการบริโภคจะเป็นตัวหนุนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ยังคาดการณ์จีดีพีของไทยปี 53 เติบโต 3.5-4.0% คาดว่าดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคจะกลับเข้าสู่ปกติในช่วงกลางปี ภายใต้ปัจจัยการเมืองนิ่ง, ราคาดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตร และปัญหามาบตาพุดคลี่คลาย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่า การบริโภคของประชาชนจะเป็นช่วยเป็นตัวหนุนภาคเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 53 โดยยอดขายโดยรวมในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตประมาณ 7-10% ซึ่งจะมีผลทำให้จีดีพีของปี 53 เติบโตในระดับ 3.5-4.0%
จากการที่แนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีทิศทางขาขึ้น ทาง ม.หอการค้ามองว่าดัชนีจะปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติที่ 100 ในช่วงกลางปี 53 นี้ โดยจะเห็นตัวเลขที่โดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ทั้งนี้จะต้องมีปัจจัย 3 ด้านที่สำคัญ คือ การเมืองจะต้องมีเสถียรภาพ, ระดับราคาน้ำมันจะต้องไม่สูงเกินกว่าระดับจิตวิทยาที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความกังวล นั่นคือ ราคาน้ำมันดีเซลจะต้องไม่เกินลิตรละ 33 บาท/ลิตร และปัจจัยที่ 3 คือ เรื่องการแก้ไขปัญหาการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจะต้องคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นด้วย
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วเกินไป เนื่องจากมองว่าขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงในด้านการฟื้นตัว ซึ่งเห็นว่างบลงทุนภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งยังจำเป็นต้องใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในปี 53 และ 54 แต่หากภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืนตั้งแต่ช่วงปลายปี 53 เป็นต้นไป ก็มองว่ารัฐบาลอาจจะเริ่มถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตั้งแต่ปี 55
อย่างไรก็ตาม การถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ควรจะเป็นการปรับลดวงเงินลงทุน แต่ควรปรับโครงการให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ เพราะหากปรับลดวงเงินมาก ก็จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่าจะไม่ทำให้หนี้สาธารณะลดลง หรือรัฐบาลอาจจะเลือกใช้แนวทางร่วมทุนกับเอกชนในรูปแบบ PPP หากเป็นการลงทุนในโครงการที่ผลต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจก็ถือว่ารับได้