นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า พายุหิมะที่โหมกระหน่ำภูมิภาคฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐจะส่งผลให้มีคนตกงานในสหรัฐราว 90,000 - 150,000 คนในเดือนก.พ. เนื่องจากพายุหิมะทำให้ประชาชนไม่สามารถเดินทางออกไปทำงานได้ และยังส่งผลให้การจ้างงานในเดือนก.พ.หดตัวลงด้วย
สเตฟาเน มาริยง หัวหน้านักวิเคราะห์จากเนชั่นแนล แบงก์ ไฟแนนเชียลกล่าวว่า พายุหิมะจะส่งผลอย่างหนักต่อการจ้างงาน เนื่องจากประชาชนไม่สามารถออกจากบ้านไปทำงานได้และธุรกิจหลายแห่งต้องปิดทำการ โดยก่อนหน้านี้ มาริยงคาดว่าภาคเอกชนของสหรัฐจะเพิ่มการจ้างงาน แต่เมื่อเกิดเหตุพายุหิมะทำให้เขาประมาณการใหม่ว่า จำนวนคนตกงานในสหรัฐจะมีอยู่สูงถึง 150,000 คนในเดือนก.พ.
ขณะที่โจเซฟ ลาวอร์ญา หัวหน้านักวิเคราะห์จากดอยช์แบงก์คาดการณ์ว่า จะมีคนตกงานในสหรัฐเพิ่มอีก 90,000 คนในเดือนก.พ.เนื่องจากพายุหิมะกระหน่ำ ซึ่งสวนทางกับก่อนหน้านี้ที่เขาเคยคาดว่าตัวเลขจ้างงานในสหรัฐจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เขาคาดว่าจำนวนคนงานอาจจะสูงกว่าที่เขาคาดการณ์ถึงสองเท่า
ลาวอร์ญากล่าวว่า สหรัฐเคยเผชิญกับสภาพอากาศเลวร้ายในเดือนม.ค.ปี 2539 ประชาชนที่มีงานทำกว่า 1.8 ล้านคนไม่สามารถเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปทำงานได้ ทำให้ในเดือนนั้นตัวเลขจ้างงานในสหรัฐหดตัวลงเหลือ 160,000 คน แต่เหตุการณ์พายุหิมะในปีนี้อาจทำให้ตัวเลขจ้างงานเดือนก.พ.ทรุดตัวลงหนักกว่านั้น อย่างไรก็ตาม ลาวอร์ญาคาดว่าวิกฤตการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ซึ่งหากผ่านเดือนก.พ.ไปแล้ว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐก็น่าจะดีขึ้น
เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ธุรกิจต่างๆในสหรัฐถูกกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวนและพาหิมะ รวมถึงธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมการผลิต การก่อสร้าง และการขนส่ง ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้จะยิ่งทำให้การจ้างงานหดตัวลงด้วย