นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.จะเร่งปรับปรุงโครงสร้างการคิดค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น โดยโครงสร้างใหม่นั้น ธปท. จะพิจารณาจากต้นทุนการดำเนินงานในแต่ละส่วนของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงภาวะการแข่งขัน และความโปร่งใสของการให้บริการ
ธปท.ต้องการให้ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งจากการศึกษาพบว่าการทำธุรกรรมหน้าเคาท์เตอร์ เช่น การโอนเงินผ่านสาขาธนาคาร รวมไปถึงการสั่งจ่ายเช็คผ่านสาขาธนาคารนั้นมีต้นทุนการดำเนินการที่สูงกว่าการทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่ธนาคารพาณิชย์กลับเรียกเก็บเงินในอัตราที่เท่ากันเพื่อนำไปชดเชยต้นทุนด้านอื่น
“การคิดค่าธรรมเนียมของแบงก์แต่ละรายในแต่ละธุรกรรม เราเองก็เห็นว่ายังไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งเราก็ดูอยู่ว่าจะแก้ไขปัญหายังไงได้บ้าง เรื่องนี้เองทางทีดีอาร์ไอที่เราว่าจ้างให้เข้ามาศึกษาก็สรุปออกมาว่าต้นทุนการทำธุรกรรมโดยผ่านเคาท์เตอร์ธนาคารพาณิชย์แพงกว่าการทำผ่านตู้อัตโนมัติ แต่กลับคิดค่า fee ที่สูงกว่า ทางเราเองก็เห็นเช่นเดียวกัน"นางอัจนา กล่าว
ส่วนกรณีที่ทีดีอาร์ไอเสนอให้ ธปท.ยกเลิกเพดานการคิดค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้เกิดการแข่งขันมากขึ้นนั้น เพราะจากผลการศึกษาพบว่าธนาคารพาณิชย์คิดค่าธรรมเนียมในอัตราสูงสุดเหมือนกันหมด เรื่องนี้ ธปท.เองคงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะไม่จำเป็นเสมอไปว่าการเลิกเพดานดังกล่าวจะทำให้การแข่งขันเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าดูในส่วนของอัตราดอกเบี้ย ธปท. เองไม่ได้กำหนดเพดานขั้นสูงหรือขั้นต่ำเอาไว้ แต่ก็ไม่เห็นว่าธนาคารพาณิชย์จะมีการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม การที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราสูงสุดเหมือนกันนั้น ธปท.มองว่าไม่น่าจะเป็นการฮั้วกันของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากจำนวนธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีมากพอที่จะทำให้เกิดการแข่งขันกัน ซึ่งในเรื่องของการคิดค่าธรรมเนียมนั้น นอกจากจะว่าจ้างให้ทีดีอาร์ไอเข้ามาศึกษาแล้ว ยังว่าจ้างให้ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เข้ามาช่วยศึกษาด้วยเช่นกัน