นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน มั่นใจการจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย ปี 2553-2573(พีดีพี 2010) ปรับปรุงครั้งที่ 2 จะได้ข้อสรุปชัดเจนภายในเดือน มี.ค. โดยขณะนี้กำลังเร่งรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อสร้างความชัดเจนในการจัดหาไฟฟ้าของประเทศในระยะยาว 20 ปี กระตุ้นการลงทุนด้านพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าในอนาคต
"คาดว่าจะได้ข้อสรุปชัดเจนภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากนั้นจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) พิจารณาอนุมัติ" นายณอคุณ กล่าว
การจัดทำร่างแผน PDP2010 ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสมมติฐานว่าไทยต้องมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองในระดับที่เหมาะสมอยู่ที่ 20% ขึ้นไป เนื่องจากไทยยังคงพึ่งพาก๊าซธรรมชาติค่อนข้างสูงกว่า 75% มีการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าด้วยการกำหนดสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านหากมีการซื้อไฟฟ้าจาก 2 ประเทศต้องไม่เกิน 25% ของกำลังผลิตทั้งหมด เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ทั้งนี้ จะนำตัวเลขใช้จีดีพีกรณีสูงสุดมาเป็นเกณฑ์ในการจัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสำหรับจัดทำแผนพีดีพี 2010 เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และผลักดันการลงทุนภาครัฐภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการด้านสาธารณูปโภค
ขณะเดียวกันจะทยอยลดสัดส่วนการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติลง เพื่อลดความเสี่ยงในการจัดหาก๊าซธรรมชาติมาใช้ผลิตไฟฟ้า โดยหันไปใช้พลังงานหมุนเวียน ถ่านหิน นิวเคลียร์ และการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งกำหนดโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติทดแทนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่หมดอายุและมีความเสี่ยงต่ำ
รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในส่วนของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้มีการปรับลดโรงไฟฟ้าเหลือเพียง 5 โรง ที่มีสัดส่วนกำลังผลิตไม่เกิน 10% ของกำลังผลิตทั้งหมด เพื่อลดภาระการลงทุนและปรับแผนการลงทุนในกิจการไฟฟ้าให้เหมาะสม
ส่วนความคืบหน้าการศึกษาการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะได้ข้อสรุปเรื่องสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้าและราคาค่าก่อสร้างภายในเดือนพฤษภาคมนี้