คณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ ระบุในโอกาสครบรอบ 1 ปีของการใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจมูลค่า 7.87 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งโอบามาลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 17 ก.พ.ปีที่แล้ว เมืองเดนเวอร์ มลรัฐโคโลราโด ว่า มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจสามารถกระตุ้นการขยายตัวและควบคุมอัตราว่างงานได้
ในที่ประชุมครั้งนี้ นายโจ ไบเดน รองประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวว่า มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจฉบับนี้สามารถยับยั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ขณะที่คณะทำงานคนอื่นๆต่างเดินทางไปยังเมืองต่างๆกว่า 30 แห่งทั่วประเทศในสัปดาห์นี้เพื่อประกาศความสำเร็จของมาตรการฟื้นฟูฉบับดังกล่าว
ร่างกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจฉบับดังกล่าวต้องฝ่าด่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เนื่องจากผู้ทรงคุณวุฒิของทั้งสองสภามีมุมมองที่แตกต่างกัน แต่ในที่สุดเมื่อวันเสาร์ที่ 14 ก.พ.2552 วุฒิสภาสหรัฐมีมติผ่านแผนฟื้นฟูฉบับดังกล่าวด้วยการลงคะแนนเสียง 60 ต่อ 38 หลังจากผ่านมติเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรมาก่อนหน้านี้ด้วยคะแนนเสียง 246 ต่อ 183 เสียง จากนั้นจึงส่งให้โอบามาลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายในวันที่ 17 ก.พ.2552 ซึ่งมีขึ้นไม่ถึงเดือนหลังจากเข้าพิธีรับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 ม.ค.2552
อัตราว่างงานลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว สวนทางกับที่นางคริสตินา โรเมอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของทำเนียบขาวที่คาดการณ์ว่า อัตราว่างงานจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 10%
คณะทำงานของโอบามากล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่สามารถขยายตัวขึ้นได้หากปราศจากมาตรการฟื้นฟูฉบับนี้ ซึ่งดูได้จากตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนม.ค.ที่ลดลงเพียง 20,000 ตำแหน่ง เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ร่วงลงกว่า 700,000 ตำแหน่ง บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังเริ่มฟื้นจากจุดต่ำสุด ท่ามกลางสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2552 ของสหรัฐขยายตัวในอัตรา 5.7% ต่อปี ซึ่งทำสถิติขยายตัวสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี สะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนภาคเอกชนในสหรัฐที่ฟื้นตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจของซีบีเอสและนิวยอร์ก ไทม์ส บ่งชี้ว่า มีชาวอเมริกันเพียง 6% เท่านั้นที่มองว่ามาตรการฟื้นฟูฉบับดังกล่าวช่วยให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลการสำรวจชาวอเมริกันจำนวน 1,084 คนพบว่า 45% ของชาวอเมริกันที่ตอบรับการสำรวจ ไม่พอใจการทำงานของโอบามา ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี