นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย (ทีทีอาร์) กล่าวว่า นายเฟรดเดอริค แวงซองท์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มมิชลินภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย เข้าพบนายกรัฐมนตรีและรายงานให้ทราบถึงยอดขายของเดือน ม.ค.53 ซึ่งมียอดขายสูงกว่าปีก่อนถึง 20% ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจโลกได้ผ่านพ้นจุดวิกฤติและกำลังผงกหัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ มิชลินได้ใช้ไทยเป็นศูนย์ปฏิบัติการระดับภูมิภาคเพื่อเป็นฐานการผลิตสำคัญที่สุดในเอเชียเพื่อส่งออกไปทั่วโลก และมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็มีการเฝ้ามองสถานการณ์การเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด และไม่ต้องการเห็นอะไร ๆ ที่สร้างความไม่แน่นอนให้เกิดขึ้น เพราะถือว่าไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญของกลุ่มมิชลิน
นอกจากนี้ นายแวงซองท์ ยังระบุอีกว่า กลุ่มมิชลินพร้อมให้การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศให้ปีนี้เป็นปีแห่งความปลอดภัยโดยเฉพาะความปลอดภัยบนท้องถนนและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยกลุ่มมิชลินได้เลือกไทยเพื่อจัดตั้งสำนักงานส่วนภูมิภาคและเป็นฐานการผลิตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แลโอเชียเนีย
ปัจจุบัน กลุ่มสยามมิชลินมีพนักงานกว่า 6,300 คน ผลิตยางยนต์มากกว่า 80 ชนิด ทั้งรถยนต์ รถจักรยายนต์ เครื่องบิน เป็นต้น เพื่อตอบสนองต่อตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ตัวเลขเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ไตรมาสที่สี่เมื่อปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับภูมิภาคอาเซียนที่อัตรากำลังการผลิตปรับตัวสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผลของเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้น เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนในฐานะฐานการผลิตภายในภูมิภาค
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลเน้นการพัฒนาระบบโลจิติกส์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา ส่งเสริมการพัฒนารถยนตร์ที่รักษาสิ่งแวดล้อม หรืออีโคคาร์ และได้ประกาศให้เป็นปีแห่งความปลอดภัย โดยเฉพาะความปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากภาคเอกชน และเห็นว่าภาคเอกชน เช่น กลุ่มมิชลินยังสามารถมีส่วนสนับสนุนการท่องเที่ยวและธุรกิจอาหารไทย โดยกำหนดไว้ในคู่มือของมิชลินที่แจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไปทั้งด้วย