ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดเงินบาทอาจเผชิญแรงเทขายเป็นระยะหลังเฟดลดดอกเบี้ยมาตรฐาน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 19, 2010 13:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Discount Rate) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 สู่ระดับ 0.75% จากระดับ 0.50% โดยให้เริ่มมีผลในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 นั้น เป็นการเพิ่มช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย Discount Rate กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.50-0.75% สะท้อนการปรับสมดุลเชิงนโยบายให้เป็นปกติมากขึ้น

ในด้านผลกระทบต่อตลาดการเงินนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า อาจกดดันให้สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง และสกุลเงินในภูมิภาค รวมถึง เงินบาท ต้องเผชิญกับแรงเทขายเป็นระยะๆ โดยแนวรับระยะสั้นของเงินบาทนั้น อยู่ที่ระดับ 33.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ

อนึ่ง ที่ผ่านมาเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย Discount Rate ในการประชุมแบบฉุกเฉินเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2550 และ 16 มีนาคม 2551 เพื่อใช้ในการรับมือกับวิกฤตซับไพร์มที่เริ่มปะทุขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม 2550 ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย Discount Rate กับอัตราดอกเบี้ยนโยบาหดแคบลงเหลือ 0.25-0.50% เทียบกับในช่วงเวลาปกติที่ 1.00%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แม้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Discount Rate ของเฟดครั้งนี้จะทำให้ช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย Discount Rate กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายกว้างขึ้น แต่คาดว่าผลกระทบต่อสภาพคล่องในระบบและต่อตลาดการเงินโดยรวมน่าที่จะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากความต้องการกู้เงินฉุกเฉินของสถาบันรับฝากเงินผ่านช่องทางดังกล่าวปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องราว 87% จากระดับสูงสุดช่วงต้นปี 2552 สู่ระดับต่ำกว่า 2.0 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ขณะนี้

นอกจากนี้ สถาบันรับฝากเงินในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่มีสภาพคล่องส่วนเกินในระดับที่ค่อนข้างสูง และบางส่วนก็ได้ฝากไว้กับเฟด ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากของสถาบันการเงินในส่วนนี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

และมองว่า ในระยะถัดไป เฟดจะทยอยปรับสมดุลนโยบายการเงินจากจุดยืนเชิงนโยบายการเงินที่มีความผ่อนคลายอย่างมากให้เข้าสู่ภาวะปกติอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Discount Rate เพื่อให้ช่องว่างเหนืออัตราดอกเบี้ยนโยบายกลับเป็น 100 bps. ตามเดิม,

การยกเลิกโครงการรับซื้อสินทรัพย์ทางการเงินตามกำหนดเวลาในช่วงสิ้นไตรมาส 1/2553 และอาจทยอยขายสินทรัพย์ดังกล่าวออกมาในช่วงหลังจากนั้น เพื่อปรับลดขนาดงบดุลของเฟด และดึงสถาพคล่องส่วนเกินออกจากระบบ และการเตรียมเครื่องมืออื่นๆ ในการส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงิน และ/หรือดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบ อาทิ การทำ Reverse Repurchase Agreements (Reverse Repo) การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินสำรองส่วนเกินของสถาบันการเงิน (Interest on Excess Reserves) และการเสนอวงเงินฝากประจำสำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ฝากไว้กับเฟด

ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นขั้นตอนท้ายๆ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินที่ชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่เส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความมั่นคงมากกว่านี้ เนื่องจากในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า การฟื้นตัวของตลาดแรงงาน การใช้จ่ายภาคเอกชน (ทั้งภาคการบริโภค และภาคธุรกิจ) สหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในระยะแรกเริ่ม ขณะที่สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น สินเชื่อที่ปล่อยเพื่อโครงการศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน ยังมีความเปราะบางสูง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ