นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/53 คาดว่าจะขยายตัวได้มากกว่า 5% หลังจากที่เศรษฐกิจไทยในปี 52 ติดลบเพียง 2.3% ซึ่งหดตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไตรมาส 4/52 ขยายตัวได้ถึง 3.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/52 และขยายตัว 5.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/51 ซึ่งเป็นผลมาจากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวได้เร็ว การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้มากขึ้น จากการที่ราคาสินค้าเกษตร รายได้เกษตรกรปรับสูงขึ้น ทั้งในแง่ของราคาสินค้าและโครงการประกันรายได้ ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น
นายกรณ์ กล่าวว่า ในปีนี้เชื่อว่ากลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกด้านได้ทำงานเต็มที่ แม้ปีงบประมาณ 53 มีวงเงินรายจ่ายที่ 1.7 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าปีงบประมาณ 52 เนื่องจากไม่ได้เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่รัฐบาลยังคงมีบทบาทสำคัญต่องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป ขณะเดียวกันภาคเอกชนเริ่มมีการลงทุนมากขึ้น เห็นได้จากการขยายกำลังการผลิตมากขึ้น จึงไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ยังมีแผนการลงทุนในระยะยาวต่อไป
รมว.คลัง ยังกล่าวปาฐกถา เรื่อง มุมมองอนาคตในวงการการเงินการธนาคารในประเทศไทย" ในงานไฟแนนซ์ไทยแลนด์ 2010ว่า ความท้าทายของไทยในขณะนี้มี 3 เรื่อง คือ การแข่งขันของภาคธนาคาร ซึ่งนโยบายของรัฐบาลจะไม่แทรกแซงการทำงาน แต่จะให้ ธนาคารเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าที่ผ่านมาการทำกำไรของธนาคารเป็นไปได้ดี แต่อยากให้ ธปท.เข้ามาควบคุมดูแลเรื่องค่าธรรมเนียมต่างๆ เนื่องจากพบว่า ในปี 52 ฐานลูกค้าของธนาคารไม่เติบโต แต่รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น
อีกประเด็นคือระบบราชการ ที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็ง ที่จะต้องมีการผลักดันให้เกิดการเบิกจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และ ประเด็นสุดท้าย คือการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการลงทุนแทนภาครัฐ ขณะเดียวกันจะสนับสนุนเอกชนร่วมลงทุนในโครงการรัฐในลักษณะ PPP และการเร่งให้รัฐวิสาหกิจมีบทบาทในการเบิกจ่ายงบลงทุนมากขึ้น
ทั้งนี้ ใน 2-3 เดือนข้างหน้า รัฐบาลจะสร้างความชัดเจนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งด้านโทรคมนาคม ท่าเรือ ระบบราง สนามบิน เพื่อให้นักลงทุนวางแผนการลงทุนได้ดีขึ้น