สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลียรายงานในวันนี้ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2552 ขยายตัวในอัตรา 0.9% จากไตรมาส 3 ทำสถิติขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางออสเตรเลียตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในการประชุมเมื่อวานนี้
-- รองประธานบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ และประธานของโตโยต้าในอเมริกาเหนือได้ให้การยืนยันต่อคณะกรรมการพาณิชย์ วิทยาศาสตร์ และขนส่งของวุฒิสภาสหรัฐเมื่อวานนี้ โดยให้คำมั่นว่าจะใช้กระบวนการตัดสินใจที่มีความโปร่งใส หากต้องมีการเรียกคืนรถอีกในอนาคต อีกทั้งจะยกระดับการควบคุมคุณภาพรถเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
-- ออโตดาต้า คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐรายงานว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ของค่ายโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ในสหรัฐ ลดลง 8.7% ในเดือนก.พ. 2553 แตะที่ระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปีที่ 100,027 คัน ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของโตโยต้าในสหรัฐหดตัวลงสู่ระดับ 12.8% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปี 2548 จากเดือนก.พ.ปี 2552 ที่ระดับ 15.9% ทำให้โตโยต้ากลายเป็นค่ายรถเพียงค่ายเดียวที่มียอดขายลดลงในสหรัฐ
-- คัชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ แอลแอลพี (Cushman & Wakefield LLP) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ เปิดเผยในรายงานวันนี้ว่า จีนก้าวขึ้นแซงหน้าสหรัฐในฐานะตลาดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของโลกในปี 2552 และคาดว่าจีนจะสามารถรักษาสถานะดังกล่าวเอาไว้ได้อีกครั้งในปี 2553 เนื่องจากเศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ดีกว่าและพึ่งพาการกู้ยืมน้อยกว่าสหรัฐ
-- นายกรัฐมนตรีจอร์จ ปาปันเดรอู ของกรีซ เปรียบเทียบวิกฤตด้านงบประมาณของประเทศกับการเผชิญศึกสงคราม พร้อมกับชี้ว่า กรีซเสี่ยงที่จะล้มละลายได้หากไม่ใช้มาตรการพิเศษเพื่อลดปริมาณหนี้สิน
-- มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ป ออกแถลงการณ์ว่า จะไม่สานต่อการเป็นพันธมิตรด้านเงินทุนร่วมกับบริษัท พีเอสเอ เปอโยต์ ซีตรอง ของฝรั่งเศส เนื่องจากการทำข้อตกลงดังกล่าวยังไม่มีความเหมาะสมในสถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้ แต่ทั้ง 2 บริษัท จะยังคงหาทางขยายขอบเขตความร่วมมือในธุรกิจอื่นๆต่อไป
-- สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เปิดเผยว่า กำไรสุทธิของบริษัทตลอดทั้งปีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.38 พันล้านดอลลาร์ จากระดับปีที่แล้วที่ 3.24 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากยอดการปล่อยกู้ที่สูงเป็นประวัติการณ์
-- สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เปิดเผยในรายงานวันนี้ว่า การที่ธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำนานเกินไป เพียงเพื่อที่จะกระตุ้นดีมานด์ภายในประเทศนั้น อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์