นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 53 (ม.ค.-ก.พ.) มีจำนวนโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมลงทุนเพิ่มขึ้น 60% จาก 125 โครงการเป็น 200 โครงการ เกิดการจ้างงาน 29,647 คน โดยอุตสาหกรรมที่มีผู้สนใจขอรับส่งเสริมลงทุนมากเป็นอันดับ 1 คือ บริการและสาธารณูปโภค เงินลงทุนรวม 49,400 ล้านบาท อันดับ 2 คือ อุตสาหกรรมเกษตร มูลค่าการลงทุนรวม 9,900 ล้านบาท และอันดับ 3 คือ อุตสาหกรรมโลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 7,300 ล้านบาท
ขณะที่ยอดขอรับการส่งเสริมลงทุนมี มูลค่าประมาณ 78,800 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25% เนื่องจากในเดือนม.ค.52 มีโครงการขนาดใหญ่ในกิจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 2 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 81,000 ล้านบาท
ส่วนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในช่วง 2 เดือนแรก พบว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่มีการลงทุนในประเทศไทยสูงสุดทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 43 โครงการ คิดเป็นสัดส่วน 52% ของโครงการลงทุนจากต่างประเทศทั้งสิ้น และมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 12,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบ 2 เท่า ส่วนใหญ่เป็นโครงการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ ไดรฟ์ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
ขณะที่ประเทศจีน มีการลงทุนรองลงมา โดยมีมูลค่าลงทุนรวม 6,238 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10% ของมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศทั้งสิ้น โครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ เงินลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท