นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับโรงสีเรื่องการตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวเปลือกนาปรังปี 2553 วานนี้ (10 มี.ค.) ว่า ได้นำข้อสรุปที่ได้จากการหารือระหว่างกระทรวงพาณิชย์และสมาคมโรงสีข้าวไทยเกี่ยวกับการเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือกนาปรังปี 2553 เสนอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เห็นชอบแล้ว โดยรัฐจะเพิ่มอัตราค่าเช่าโกดังให้กับโรงสีจากตันละ 55 บาทต่อเดือน เป็นตันละ 75 บาท และจัดหาแหล่งเงินทุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งเชื่อว่ามาตรการจะเพิ่มแรงจูงใจให้โรงสีเปิดจุดรับซื้อข้าวกับเกษตรกรเพิ่มขึ้น ทำให้เกษตรกรได้ประโยชน์และสถานการณ์ข้าวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในไม่ช้า
ด้านนางจินตนา ชัยยวรรณาการ รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า รัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้โรงสีที่เข้าร่วมโครงการรายละ 2% พร้อมจ่ายค่าจัดเก็บข้าวเปลือกเพิ่มใน 3 เดือนแรก เป็นตันละ 75 บาท พร้อมเงื่อนไขหากไม่ระบายหรือจำหน่ายข้าวออกใน 3 เดือน รัฐจะจ่ายค่าจัดเก็บเพิ่มแบบก้าวหน้าเพิ่มอีกตันละ 40 บาทต่อเดือน เป็น 115 บาท เพื่อเป็นค่าพลิกกองข้าว แต่การจ่ายค่าจัดเก็บข้าว รัฐบาลจะไม่จ่ายเป็นเงินสด จะให้โรงสีหักจากข้าวเปลือกที่ฝากจัดเก็บแทน นอกจากนี้ จะปรับเกณฑ์การพิจารณาราคาอ้างอิงให้ทันสมัยขึ้น โดยประกาศทุกวันจันทร์ แทนของเดิมประกาศทุกวัน 15 วัน
ขณะที่นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ เลขาธิการสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ได้เสนอให้ที่ประชุมเพิ่มอัตรารับฝากเก็บข้าวจากเดิมตันละ 55 บาทต่อเดือนเป็นตันละ 75 บาทต่อเดือน เพราะอัตราฝากเก็บเดิมที่โรงสียอมรับได้เพราะจะมีรายได้จากการสีแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสารหลังฝากเก็บมาเสริม แต่ตามโครงการตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวครั้งนี้ ไม่มีแผนให้แปรสภาพข้าว และให้จัดเก็บเป็นข้าวเปลือกแทน ประกอบกับ โรงสีที่เข้าร่วมโครงการมีภาระอัตราดอกเบี้ยค่าประกันข้าว และค่าใช้จ่ายอื่นๆ จึงรับราคาค่าฝากเก็บเดิมไม่ไหว
ขณะเดียวกัน โรงสีได้ขอความชัดเจนในเรื่องแผนการจัดการข้าวที่ได้รับฝากเก็บว่าต้องการจะฝากเก็บไว้นานเท่าใด โดยในเบื้องต้นเสนอว่าต้องฝากเก็บอย่างน้อย 90 วัน เพื่อโรงสีจะได้รู้ว่า ต้องดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างไร และเชื่อว่าหากรัฐยอมทำตามข้อเสนอ จะเป็นแรงจูงใจให้โรงสีเข้าร่วมโครงการมากขึ้น ซึ่งสมาคมฯจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้สมาชิกรับทราบต่อไป