นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวให้ความมั่นใจกับนักธุรกิจญี่ปุ่น และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ว่าในช่วงการประชุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดงนั้น รัฐบาลจะดูแลรักษาความปลอดภัยให้การชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย
พร้อมยืนยันว่าแม้จะมีปัญหาทางการเมืองในประเทศ แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจต่อไปโดยจะไม่ให้ปัญหาการเมืองเข้ามาเป็นอุปสรรค
"ในช่วงไม่กี่วันข้างหน้าที่จะมีการชุมนุมใหญ่ รัฐบาลจะรักษาบ้านเมืองไม่ปล่อยให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย จะดูแลให้การใช้ชีวิตของประชาชนเป็นไปตามปกติ...สิ่งที่รัฐบาลยืนยันได้ตลอด 1 ปีเศษ ไม่ว่าปัญหาทางการเมืองจะเป็นอย่างไร ความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลจะทำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการชะลอ" นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเนื่องในโอกาสครบรอบการจัดตั้งเจโทรครบ 50 ปี
สำหรับความร่วมมือระหว่างเจโทรกับรัฐบาลไทยนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เจโทรเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการส่งเสริมทางการค้า, การส่งออก, การพัฒนาด้านต่างๆ รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและความเป็นสากล โดยรัฐบาลได้กำหนดให้มีมาตรการที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้า การร่วมมือกับภาคเอกชน สถาบันวิจัยในการพัฒนาความสามารถของผู้ประกอบการ พัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และการให้ความสำคัญกับมาตรฐานการผลิต เพื่อให้มาตรฐานการผลิตของไทยทัดเทียมกับมาตรฐานในประเทศที่พัฒนาแล้ว
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตะพุดว่า รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวกทางธุรกิจ (OSOS) ซึ่งเป็นศูนย์ที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาในมาบตะพุดอย่างครบวงจร
ทั้งนี้รัฐบาลหวังว่า เจโทรจะเป็นหน่วยงานที่สะท้อนภาพข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในไทย โดยให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่นักลงทุนและหน่วยงานของญี่ปุ่น รวมถึงรับฟังความต้องการของภาคเอกชนทั้งไทยและญี่ปุ่นด้วย
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวด้วยว่าจากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการญี่ปุ่น ประจำปี 52 ของธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(เจบิค) ซึ่งพบว่าไทยเป็นอันดับ 4 ของประเทศที่ผู้ประกอบการญี่ปุ่นเห็นว่าน่าขยายการลงทุน รองจากจีน, อินเดีย และเวียดนาม
นอกจากนี้จากผลสำรวจของเจโทร ที่สำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่ประจำในต่างประเทศ พบว่าไทยเป็นอันดับ 3 ของประเทศที่น่าขยายการลงทุนรองจากจีน และอินเดีย