นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ระบุว่า หากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดงเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะการชุมนุมเป็นสิทธิของประชาชนที่สามารถกระทำได้ ดังนั้นภาคธุรกิจจึงหวังว่าเรื่องดังกล่าวจบลงด้วยความสงบ
ทั้งนี้ภาคเอกชนมองว่าปัญหามาบตาพุด และปัญหาการเมืองเป็นความเสี่ยงที่มีนำหนักใกล้เคียงกัน แต่ในส่วนนักลงทุนต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับเรื่องมาบตาพุดมากกว่า เพราะมีการลงทุนในพื้นที่คิดเป็นเม็ดเงินจำนวนมากและมีผลในระยะยาว ส่วนปัญหาการเมืองก็เป็นปัญหาที่เคยประสบมาก่อนและถือว่ายังไม่มีความรุนแรงมาก
อย่างไรก็ดี คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวได้ราว 3.5-4% หรืออาจจะสูงถึง 5% หากปัญหาการเมืองในประเทศสงบลงโดยเร็ว เนื่องจากขณะนี้ดัชนีชี้วัดภาวะทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาวัสดุก่อสร้างคงมีการปรับตัวขึ้นลงตามภาวะตลาดและต้นทุนด้านพลังงานเป็นหลัก ซึ่งอาจจะเห็นการปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ด้านนายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บมจ.สหพัฒนพิบูล กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ เพราะยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด แต่ภาคเอกชนยังมั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถดูแลความสงบได้ จากการออกมาตรการต่างๆ เข้ามาควบคุมสถานการณ์
ดังนั้นอยากให้ทุกฝ่ายทำตามหน้าที่ของตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหารุนแรง และเป็นไปตามระบบประชาธิปไตย ส่วนปัญหามาบตาพุดถึงว่าภาคเอกชนยังมีความเป็นห่วงเพราะจะกระทบเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ
นายบุญชัย กล่าวด้วยว่า หากประเมินภาวะเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ถือว่าปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ว่าจะโตได้ 3-4% โดยกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้ย่อมต้องขึ้นกับขวัญและกำลังใจของประชาชนด้วย พร้อมยืนยันว่าในระยะสั้นจะไม่มีการปรับขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และยังไม่พบปัญหาการกักตุนสินค้า