ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐกู้ยืมเงินจากโครงการกู้ยืมฉุกเฉินของเฟดน้อยลงในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าภาวะตึงเครียดซึ่งเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์การเงินเริ่มบรรเทาลงแล้ว โดยเฟดระบุว่าในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 10 มี.ค. ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐกู้ยืมเงินจากโครงการฉุกเฉินของเฟดโดยเฉลี่ย 1.373 หมื่นล้านดอลลาร์/วัน ลดลง 43 ล้านดอลลาร์จากระดับเฉลี่ยในรอบสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ 1.377 หมื่นล้านดอลลาร์/วัน
เฟดกล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดการกู้ยืมในสหรัฐตกอยู่ในภาวะตึงตัวนั้น ธนาคารพาณิชย์ได้เข้ายืมเงินจากโครงการฉุกเฉินของเฟดสูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์/วัน
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา เฟดประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) 0.25% เป็น 0.75% โดยมีเป้าหมายที่จะเริ่มถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากมีข้อมูลยืนยันว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวรวดเร็วสุดในรอบ 4 ปี โดยเฉพาะจีดีพีไตรมาส 4 ปี 2552 ที่ขยายตัวในอัตรา 5.7% ต่อปี ซึ่งทำสถิติขยายตัวสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี
อย่างไรก็ตาม เฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rate) ไว้ที่ระดับ 0-0.25% ต่อไป เพื่อกระตุ้นอัตราการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ โดยอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากการกู้ยืมระหว่างกัน ส่วนอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เฟดเรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์ซึ่งกู้ยืมโดยตรงจากเฟด
คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดจะประชุมครั้งต่อไปในวันอังคารที่ 16 มี.ค.นี้ เพื่อทบทวนนโยบายอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับเดิมจนถึงปลายปีนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มที่