นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่าของจีน กล่าวในการแถลงข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมรัฐสภาประจำปีว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนที่มีเสถียรภาพ จะเป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก พร้อมยืนยันจีนไม่ได้กดมูลค่าเงินหยวนให้อยู่ในระดับต่ำ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายกฯจีนกล่าวกับผู้สื่อข่าวทั้งในประเทศและต่างชาติหลายร้อยคนว่า นับตั้งแต่ที่จีนเริ่มปฏิรูปค่าเงินหยวน ด้วยการยกเลิกการผูกติดเงินหยวนกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือนก.ค. 2548 เงินหยวนได้แข็งค่าขึ้นมาแล้วถึง 21% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ หรือ 16% ตามสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง
นายเหวินกล่าวว่า จีนไม่เห็นด้วยกับข้อกล่าวหาและมาตรการบีบบังคับต่างๆนานาให้จีนขึ้นค่าเงินหยวน โดยชี้ว่าไม่เป็นผลดีต่อการปฏิรูปอัตราแลกเปลี่ยน ในทางตรงกันข้าม การรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้มีเสถียรภาพนับว่ามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินครั้งเลวร้ายสุดในรอบหลาบสิบปี
"นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศหนึ่ง และอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศนั้น ควรขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจและสภาพเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ" เหวินกล่าว พร้อมย้ำว่า จีนจะยังคงปรับปรุงกลไกการพัฒนาอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน และรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้มีเสถียรภาพในระดับที่สมดุลและสมเหตุสมผล
เขากล่าวว่า จีนไม่ได้กดค่าเงินหยวนให้อ่อนค่ากว่าความเป็นจริง โดยชี้ว่า ในช่วงเดือนก.ค. 2551 - ก.พ. 2552 ที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำหนักสุดนั้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนที่แท้จริงได้ปรับตัวขึ้น 14.5% นอกจากนั้น ในช่วงเวลานี้ การลงออกของจีนร่วงลง 16% แต่การนำเข้าลดลงเพียง 11% และยอดเกินดุลการค้าลดลงเหลือ 1.02 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายกฯจีนชี้ว่า 37 ประเทศส่งออกสินค้าให้จีน ซึ่ง 16 ประเทศในจำนวนนี้มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น "ยกตัวอย่างเช่น เยอรมนี การส่งออกของเยอรมนีมายังจีนทำสถิติสูงสุดที่ 7.6 หมื่นล้านยูโรในปีที่แล้ว" เหวินกล่าว "สหรัฐมียอดส่งออกรวมลดลง 17% แต่ยอดส่งออกมายังจีนลดลงแค่เพียง 0.22% เท่านั้น" ส่วนสหภาพยุโรปมียอดส่งออกรวมร่วงลง 20.3% ในปี 2552 ขณะที่ยอดส่งออกจากอียูมายังจีนลดลง 15.3%
ทั้งนี้ จีนกลายเป็นตลาดส่งออกสินค้าหลักของหลายประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตลอดจนยุโรปและสหรัฐอเมริกา นายเหวินกล่าว