นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐ แถลงต่อสภาคองเกรสสหรัฐว่า นโยบายการคลังของสหรัฐในขณะนี้ถือเป็นนโยบายที่ไม่ยั่งยืน โดยคณะทำงานที่แถลงต่อสภาคองเกรสในครั้งนี้รวมถึงนายปีเตอร์ ออร์สแซก ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการและงบประมาณ และนางคริสตินา โรเมอร์ ประธานคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาว
ไกธ์เนอร์กล่าวว่า นโยบายการคลังของสหรัฐยั่งไม่ยั่งยืน และแม้ว่าภาวะย่ำแย่ทางเศรษฐกิจได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่สหรัฐยังเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวง ซึ่งรวมถึงอัตราว่างงานในระดับสูง และสถานการณ์การคลังที่อ่อนแอทั้งในระยะยาวและระยะกลาง เนื่องจากรัฐต้องนำงบประมาณไปใช้จ่ายในการจ้างงานและผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัว
นับตั้งแต่คณะทำงานของบารัค โอบามาเข้ารับตำแหน่งในเดือนก.พ.ปีที่แล้ว ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐยืนอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นร้อยละ 9.2 ของตัวเลขจีดีพี ขณะที่ประธานาธิบดีโอบามาคาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณในปีนี้จะอยู่ที่ 1.56 ล้านล้านดอลลาร์ และอาจจะยังไม่ปรับตัวลดลงในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้
"หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลัง ยอดขาดดุลงบประมาณอาจพุ่งขึ้นแตะ 10.6 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า" ไกธ์เนอร์กล่าว
ไกธ์เนอร์เรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งผ่านร่างกฎหมายประกันสุขภาพที่กำลังมีการอภิปรายกันอย่างดุเดือดในสภาขณะนี้ โดยระบุว่าการผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยให้ยอดขาดดุลงบประมาณของสหรัฐลดลงอย่างมากในอนาคต
ทั้งนี้ คณะทำงานของโอบมาเชื่อมั่นว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น ยอดขาดดุลงบประมาณจะปรับตัวลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่ารัฐบาสหรัฐจะทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณปรับตัวลดลงได้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน