นักวิเคราะห์หลายคนในวอลล์สตรีท รวมถึงนายไมเคิล เฟโรลี หัวหน้านักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ในนิวยอร์ก คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) อีก ก่อนการประชุมเฟดครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 27-28 เม.ย.นี้
กระแสคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมีออกมาเป็นระยะๆ นับตั้งแต่เฟดตัดสินใจประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) 0.25% เป็น 0.75% เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเฟดมีเป้าหมายที่จะเริ่มถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากมีข้อมูลยืนยันว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวรวดเร็วสุดในรอบ 4 ปี โดยเฉพาะจีดีพีไตรมาส 4 ปี 2552 ที่ขยายตัวในอัตรา 5.7% ต่อปี ซึ่งทำสถิติขยายตัวสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี
การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานในวันดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดเปิดเผยแผนการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงินแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมถึงการเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน และเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการของเฟดในช่วงที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ 4 ก.พ. เบอร์นันเก้ได้ประกาศปิดโครงการจัดหาสภาพคล่องฉุกเฉินบางส่วน รวมทั้งชะลอการเข้าซื้อหลักทรัพย์และตราสารหนี้ และปล่อยให้โครงการซื้อหลักทรัพย์หมดอายุลงภายในไตรมาสแรกของปี 2553
เบอร์นันเก้กล่าวว่า แม้สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันของสหรัฐจำเป็นต้องอาศัยนโยบายการเงินแบบผ่อนปรน แต่ในบางด้านนั้น เฟดเล็งเห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคุมเข้มด้านการเงินด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม เบอร์นันเก้ย้ำว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rate) ที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวอย่างยั่งยืน โดยอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากการกู้ยืมระหว่างกัน สำนักข่าวซินหัวรายงาน