นักวิชาการมองการเมืองวุ่นวายซ้ำเติมมาบตาพุดเสี่ยงฉุดจีดีพีปี 53 ลงหนัก

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 1, 2010 11:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รศ.เอกชัย นิตยาเกษตรรัตน์ คณบดีคณะบริหารธุรกิจ สถาบันพัฒนาบริหารศาสตร์ และที่ปรึกษาสถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวในการสัมมนา"มาบตาพุด ผลกระทบและโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยอย่างยั่งยืน"ว่า จากการประเมินผลกระทบปัญหามาบตาพุด หาก 49 โครงการที่ถูกศาลสั่งระงับไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ภายในปีนี้ จะทำให้กระทบกับ real GDP 1.3% จากที่คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 3.8% ก็จะลดลงเหลือ 2.5%

แต่หากปัญหายืดเยื้อออกไปเกินกว่าปีนี้ความเสียหายก็จะมากขึ้นกว่านั้น เพราะนอกจากจะกระทบโดยตรงแล้ว ก็จะมีผลกระทบด้านความเชื่อมั่นและผลกระทบทางอ้อมที่จะกระจายออกไปมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การประเมินดังกล่าวยังไม่ได้รวมผลกระทบทางการเมืองไปด้วย ซึ่งขณะนี้มองว่าปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย การเมือง ที่เป็นความเสี่ยงสูงสุด ,ปัญหามาบตาพุด และ ภาวะเศรษฐกิจโลก หากปัญหาการเมืองมีความวุ่นวายก็จะทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นไปอีก

สำหรับ 49 โครงการดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าลงทุน 4.4 ล้านล้านบาท ซึ่งความล่าช้าจะทำให้เกิดความเสียหายเป็นมูลค่า 5.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งใน 49 โครงการดังกล่าว น่าจะมี 19 โครงการที่สามารถเดินหน้าได้ เพราะเข้าเงื่อนไขที่น่าจะได้รับการผ่อนผัน เช่น ได้รับอนุมัติก่อนรัฐธรรมนูญปี 50 บังคับใช้ เป็นต้น

ส่วนอีก 30 โครงการที่มีปัญหา ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมาก ทำให้โอกาสที่จะได้รับอนุมัติให้เดินหน้าทันทีคงจะเป็นไปได้ยาก

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)ในฐานะคณะกรรมกการ 4 ฝ่าย กล่าวว่า ภายในเดือน เม.ย.นี้คาดว่าจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการประสานองค์กรอิสระได้แล้วเสร็จ และจะเสนอให้คณะอนุกรรมการ 4 ฝ่ายเห็นชอบก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้การทำการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)และผลกระทบด้านสุขภาพ(HIA) ดำเนินไปได้

ขณะที่เห็นว่ามี 9 โครงการที่เข้าเงื่อนไข 4 ประการที่ควรจะได้รับการผ่อนผัน และอาจจะได้รับการยกเว้นการทำ HIA ตามมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญ

นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากแนวทางการจัดทำ EIA และ HIA แล้วเสร็จ ก็น่าจะเวลาในการจัดทำประมาณ 9-10 เดือน ดังนั้น ปัญหามาบตาพุดก็จะยุติได้ภายในปีนี้

ส่วนประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้ ภาคเอกชนอยากจะให้ทุกฝ่ายพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหามาบตาพุดที่รัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นผู้ที่รู้ปัญหาและขั้นตอนการแก้ไขปัญหาเป็นอย่างดี หากชะงักไปก็จะส่งผลเสีย หากเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ก็อาจทำให้การแก้ไขปัญหาจะต้องมาเริ่มต้นใหม่

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า เรื่องมาบตาพุดสะท้อนไปในราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว คงจะไม่ปรับลดลงไปมากกว่านี้ ผลกระทบในแง่ความกังวลลดลงไปแล้ว แต่ความเสี่ยงที่ว่าโครงการในมาบตาพุดจะเลื่อนไปจากปีนี้ก็ยังมี ซึ่งจะต้องติดตามในช่วงไตรมาส 3/53 ส่วนจะมีขั้นตอนรายละเอียดอย่างไร แต่ก็คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะมีการดำเนินการได้

โครงการส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบอยู่ใน ปตท.และ SCC แต่หากดูจากราคาปัจจุบันจะพบว่าต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน ตลาดหุ้นที่ขึ้นช่วงนี้เป็นเพราะเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาซื้อ แต่เชื่อว่าใกล้จะถึงเป้าหมายแล้ว ตจั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมี 3.8 หมื่นล้านบาท มองดัชนีรอบนี้ 880 จากผลประกอลบการและค่าพีอีที่เหมาะสม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ