นายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวในที่ประชุมสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในสิงคโปร์ว่า ธนาคารกลางมาเลเซียได้ให้ข้อมูลกับทางรัฐบาลว่าเศรษฐกิจมาเลเซียในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลมาจากการแทรกแซงเชิงนโยบายที่ถูกจังหวะ โดยคาดว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มีแนวโน้มขยายตัวราว 6.5% มากกว่าที่ธนาคารกลางได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวเพียง 4.5%
นายนาจิบกล่าวว่า ปัจจัยที่จะช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์นั้น ครอบคลุมถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการเงินอิสลาม โดยรัฐบาลเตรียมออกพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ที่สอดคล้องกับกฎหมายชาเรียของอิสลาม โดยจะมีการนำออกจำหน่ายทั่วโลก
ทั้งนี้ นายนาจิบตั้งเป้าว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวโดยเฉลี่ย 6.5% ต่อปี ซึ่งจะช่วยพลิกฟื้นมาเลเซียให้ก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีรายได้สูงและติดกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2563 โดยนับตั้งแต่ที่นายนาจิบเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในเดือนเม.ย.ปีที่แล้ว เขาได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะชะลอการใช้นโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อชาวมาเลย์ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ในประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและถอดถอนมาเลเซียออกจากมาตรการแบบเดิมที่ใช้กันมานานถึง 39 ปี ซึ่งรัฐบาลมองว่ามาตรการดังกล่าวอาจขัดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
นายนาจิบยังกล่าวด้วยว่า รัฐบาลมาเลเซียวางแผนที่จะเปิดเผยมาตรการใหม่ๆในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมานั้นมาเลเซียพุ่งเป้าสนับสนุนอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊ส น้ำมันปาล์ม และธุรกิจการเงินที่สอดคล้องกับกฎหมายของอิสลาม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เปิดเผยรูปแบบเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Model -NEM) โดยมีเป้าหมายที่จะพลิกโฉมมาเลเซียให้กลายเป็นประเทศเศรษฐกิจที่มีรายได้สูงและช่วยปูทางให้มาเลเซียก้าวขึ้นเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2563 โดยนายนาจิบเชื่อมั่นว่า รูปแบบเศรษฐกิจ NEM จะช่วยให้มาเลเซียสามารถแข่งขันได้มากขึ้นทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งรูปแบบเศรษฐกิจในลักษณะนี้จะเอื้อประโยชน์ให้กับชาวมาเลเซียทุกคน โดยจะช่วยให้รายได้ประชากรต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ดอลลาร์ภายในช่วงปลายทศวรรษนี้ จากระดับปัจจุบันที่ 7,000 ดอลลาร์