ค่าเงินยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (15 เม.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกรีซ แม้สหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีมติให้ความช่วยเหลือกรีซในรูปของการปล่อยเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำก็ตาม
ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.56% แตะที่ระดับ 1.3575 ยูโร/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 1.3651 ยูโร/ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.18% แตะที่ 1.5495 ปอนด์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.5467 ปอนด์/ดอลลาร์
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง 0.18% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 93.030 เยน/ดอลลาร์ จากระดับของวันพุธที่ 93.200 เยน/ดอลลาร์ แต่พุ่งขึ้น 0.43% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0562 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0517 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียร่วงลง 0.17% แตะที่ 0.9333 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับของวันพุธที่ 0.9349 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 0.50% แตะที่ 0.7111 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7147 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์
ค่าเงินยูโรร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนยังคงขาดความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของยุโรป แม้อียูและไอเอ็มเอฟยื่นมือเข้ามาคลี่คลายวิกฤตการณ์การเงินของกรีซและกอบกู้ความกู้ความเชื่อมั่นในยุโรป ด้วยการปล่อยเงินกู้รวมมูลค่าสูงถึง 4.5 หมื่นล้านยูโร หรือ 6.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตลาด ภายในเงื่อนไขที่ว่ายุโรปจะปล่อยเงินกู้ประเภท 3 ปีให้กรีซมูลค่า 3 หมื่นล้านยูโรในปีนี้ ด้วยอัตราดอกเบี้ย 5% ซึ่งต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 ปีในปัจจุบันของกรีซที่ระดับ 6.98% ส่วนอีก 1.5 หมื่นล้านยูโรจะมาจากไอเอ็มเอฟ
นักวิเคราะห์จาก FXSolutions กล่าวว่า กระแสความวิตกกังวลเรื่องปัญหาหนี้ของกรีซกลับเข้าในตลาดการเงินอีกครั้งหลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลกรีซระดมทุนด้วยการออกพันธบัตรมูลค่า 1.56 พันล้านยูโรเมื่อวันอังคาร ซึ่งเป็นวงเงินที่สูงกว่าที่กรีซได้วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ และสะท้อนให้เห็นว่าสถานะการคลังของกรีซกำลังตึงตัวอย่างหนัก นอกจากนี้ นักลงทุนยังไม่มั่นใจว่าเงินกู้ 4.5 หมื่นล้านยูโรจากอียูและไอเอ็มเอฟจะมากพอที่จะแก้ปัญหาหนี้สินของกรีซได้ เพราะกรีซต้องเตรียมเงินไว้อีกอย่างน้อย 2 หมื่นล้านยูโรเพื่อรองรับพันธบัตรที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนเม.ย.และพ.ค.
ทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ ยกเว้นตัวเลขว่างงานสัปดาห์ที่แล้วที่พุ่งขึ้น 24,000 คน มาอยู่ที่ระดับ 484,000 คน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา และเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันสองสัปดาห์
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 1.6% ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.2% ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคสหรัฐมีการใช้จ่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเดือนมี.ค.ดีดตัวขึ้น 0.1% ทำสถิติปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9