นายยุคล ลิ้มแหลมทอง ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่สำรวจสภาพปัญหาและอุปสรรคในการขนส่งสินค้าเกษตรผ่านเส้นทาง R3 ว่า เส้นทางสายอาร์สามเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่จะเป็นอนาคตให้กับสินค้าเกษตรของไทยเพราะมี ระยะทางทั้งสิ้น 1,104 กิโลเมตร โดยมีจุดเริ่มต้นจากชายแดนไทยที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย ผ่านเมืองห้วยทราย บ่อแก้ว หลวงน้ำทาบ่อเต็นของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้าสู่เมืองโม่หาน จิ่งหง เชียงรุ้ง และไปสู่จุดหมายเมืองคุนหมิงของสาธารณรัฐประชาชนจีน
ทั้งนี้ พบว่าสภาพเส้นทางค่อนข้างดี สามารถใช้เป็นเส้นทางในการขนส่งสินค้าเกษตรของไทยได้ แต่อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีปัญหาในหลายจุด เนื่องจากการจะส่งสินค้าไปยังมณฑลยูนนาน ต้องผ่านด่านโม่หาน และปัจจุบันด่านแห่งนี้ยังไม่อนุญาตให้นำเข้าสินค้าเกษตรของไทย
โดยที่ผ่านมาการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย โดยเฉพาะผลไม้ต้องสวมสิทธิ์เป็นสินค้าลาวและนำมาเปลี่ยนถ่ายลงรถขนาดเล็กของจีนที่ด่านบ่อเต็น ของลาว ทำให้เสียทั้งเวลาและข้าวของ เพราะพบว่ามีสินค้าเสียหายจากการขนส่งจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเสียค่าธรรมเนียมผ่านด่านคันละ 15,000-20,000 บาท โดยปัจจุบันสินค้าของไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดของเมืองเชียงรุ้งและเมืองคุนหมิง มีหลากหลายชนิดเช่นมะขามหวาน มังคุด ทุรียน ส้มโอ มะพร้าว กล้วยไข่ มะม่วง และทุเรียน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ คือการเจรจาสร้างความร่วมมือกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อลดค่าธรรมเนียมในการขนส่งสินค้าผ่านด่านและยกเลิกค่าใช้จ่ายเบี้ยไบ้รายทาง รายจ่ายที่ไม่จำเป็นที่สำคัญผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องหารือร่วมกันเพื่อหาข้อสรุปเพื่อให้ผู้ประกอบการของไทยสามารถขนส่งสินค้าไปยังมณฑลยูนนานได้โดยตรงเพื่อนำทั้งหมดมาเป็นแนวทางในการทำพิธีสารการขนส่งสินค้าเกษตรผ่านประเทศที่สามกับหน่วยงานในการดูแลเรื่องนี้โดยตรงของสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือเอคิวเอสไอคิว
ขณะเดียวกัน ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งตรวจสอบถึงการอนุญาตเปิดให้ผลไม้ไทยผ่านด่านโม่หาน ซึ่งคาดว่าจะมีในเร็ว ๆ นี้ เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบ เพราะเส้นทางอาร์สามจะเป็นเส้นทางที่สดใสในการส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าฮาลาลไปยังมณฑลยูนนานและมณฑลชินเกียง เนื่องจากทั้งสองมณฑลนี้มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่จำนวนมากหากสามารถส่งออกได้จะสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล
นายยุคล กล่าวด้วยว่า นอกจากการขนส่งสินค้าทางบกแล้วยังมีเส้นทางทางน้ำที่เป็นส่วนสำคัญในการขนส่งสินค้าคือท่าเรือกวนเล่ยและท่าเรือเชียงรุ้ง ซึ่งเป็นสองท่าเรือสำคัญที่ใช้ในการขนส่งสินค้าทางน้ำระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหภาพพม่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประเทศไทย แต่ปัจจุบันเส้นทางนี้มีเฉพาะเรือขนส่งของจีนเท่านั้น เนื่องจากเรือของไทยยังไม่ได้รับการอนุญาตให้เดินเรือและขนส่งสินค้าเข้าสู่ทางเรือแห่งนี้ได้อย่างเป็นทางการและยังมีปัญหาการขนส่งที่กินระยะเวลานานเนื่องจากต้องเดินเรือทวนกระแสน้ำ
ดังนั้น ภาครัฐจะเร่งเจรจากับจีนและรู้เท่าทันสถานะภาพที่จีนเป็นต่อในการปล่อยน้ำลงมาจากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ไว้เก็บน้ำเพราะหากไม่มีน้ำแล้วการขนส่งสินค้าทางเรือย่อมเป็นอัมพาต
นอกจากนี้ ในอนาคตไทยจำเป็นที่จะเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้าของจีน ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีการตรวจสอบพบแมลงศัตรูพืชและสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้ของจีนหลายชนิดแต่ไม่มีการแจ้งให้จีนทราบอย่างเป็นทางการ จึงทำให้ไทยไม่สามารถระงับหรือใช้มาตรการที่เข้มงวดเพิ่มขึ้นในการดูแลสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งทั้งหมดสามารถหยิบขึ้นมาเป็นข้อต่อรองในการที่ไทยจะไม่ถูกเอาเปรียบจากการเปิดเส้นทางนี้ พร้อมทั้งเร่งประสานกับจีนในการค้าขายในระบบแลกเปลี่ยนสินค้าควรเพิ่มจำนวนผู้นำเข้าจากจีนและผู้ส่งออกจากไทยให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อเปิดให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่การผูกขาดเพียงพ่อค้าไม่กี่ราย