กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวได้ 3.1% ในปีนี้ เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวอันเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ไอเอ็มเอฟกล่าวในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุดว่า "การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและการคลังขนานใหญ่ ควบคู่กับประกาศใช้มาตรการกระตุ้นภาคครัวเรือนและการเงินโดยตรงนั้นได้ช่วยปูทางให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เป็นอย่างดี"
รายงานดังกล่าวระบุว่า ภาวะตึงตัวของตลาดเงินในสหรัฐค่อยๆคลี่คลายลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคส่วนอื่นๆของระบบเศรษฐกิจเริ่มมีสภาพคล่องมากขึ้น ส่วนระดับการลงทุนเริ่มกระจายตัวและมีแนวโน้มกลับเข้ามาอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังฟื้นตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงต้นปี 2552 ขณะที่การออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี และอยู่ในระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์
อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟกล่าวว่า ความต้องการของภาคเอกชนในสหรัฐยังคงเบาบางและมีอยู่จำกัด อีกทั้งยังต่ำกว่าระดับเมื่อช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยในไตรมาส 4 ของปี 2552 อัตราการบริโภคของสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 1.6%
นอกจากนี้ ตลาดแรงงานในสหรัฐยังคงซบเซาอย่างมาก เมื่อพิจารณาจากจำนวนคนว่างงานที่มีอยู่กว่า 7 ล้านตำแหน่ง ขณะที่ 8.8 ล้านคนเริ่มทำงานพาร์ท-ไทม์ตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤตการณ์ ส่งผลให้อัตราว่างงานพุ่งแตะที่ 10% ภายในปลายปี 2552
โดยรายงานระบุด้วยว่า อัตราว่างงานของสหรัฐอาจปรับตัวมาอยู่ที่ 9.5% ในปี 2553 และ 8.25% ในปี 2554 ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ที่ระดับ 2% ในปีนี้ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ 1.75% ในปีหน้า
ขณะเดียวกัน ตัวเลขดุลบัญชีงบประมาณของธนาคารยังคงร่อยหรอลงหลังเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลก ขณะที่บางกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ยังมีตัวเลขขาดทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ปัจจัยทางการเงินยังคงฉุดรั้งการเติบโตของธุรกิจโดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางที่ไม่สามารถเข้าถึงตลาดทุนได้
"การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตอาจดำเนินไปแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาที่อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มลดน้อยลง" ไอเอ็มเอฟเสริมพร้อมกับชี้ว่า การถอดถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐสะดุดลงมาอยู่ที่ 2.6% ในปีหน้า สำนักข่าวซินหัวรายงาน