(เพิ่มเติม1) พาณิชย์เผย มี.ค.ส่งออกโต 40.9%นำเข้าโต 59.7% เกินดุล 1.15 พันล้านดอลล์

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 22, 2010 11:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

กระทรวงพาณิชย์ แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศในเดือน มี.ค.53 ว่า การส่งออกมีมูลค่า 16,253 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 40.9% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้าขยายตัว 59.7% คิดเป็นมูลค่า 15,099 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าประมาณ 1,154 ล้านดอลลาร์

"มูลค่าส่งออกในเดือนมีนาคมสูงเกินความคาดหมาย สูงสุดในรอบ 17 เดือนนับตั้งแต่ปี 51"นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวในการแถลงข่าว

สำหรับสรุปภาพรวมไตรมาส 1/53 การส่งออกมีมูลค่า 44,381 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 31.6% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 42,270 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 58.1% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 2,110 ล้านดอลลาร์

รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การส่งออก มี.ค.53 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยมียอดการส่งออกสูงสุดในรอบ 17 เดือน นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปลายปี 51 โดยมีการขยายตัวของการส่งออกทุกกลุ่มสินค้า

การส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร เพิ่มขึ้น 49.2% สินค้าสำคัญที่ส่งออกเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง น้ำตาล อาหารแช่แข็งและแปรรูป ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 36.5% โดยสินค้าสำคัญที่เพิ่มขึ้นได้แก่ อิเล็กทรอนิคส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก และสิ่งทอ เป็นต้น

ปัจจัยบวกทีเอื้อต่อการส่งออกในเดือน มี.ค.มาจากภาวะเศรษฐกิจในตลาดโลกที่ฟื้นตัว ประกอบกับ ไทยสามารถนำลูกค้าเก่ากลับคืนมาได้ จากการเตรียมพร้อมของภาครัฐและเอกชน ขณะที่ปัจจัยลบที่มีอยู่ คือ เงินบาทแข็งค่า แต่อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ แนะให้ผู้ส่งออกทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกมาก โดยมองว่าเงินบาทที่ระดับ 32 บาท/ดอลลาร์ เป็นระดับที่ทำให้ส่งออกในปี 53 น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 14% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.73 แสนล้านดอลลาร์

"เรายังไม่ปรับลดเป้าส่งออกปีนี้ที่ 14% เพราะเราแนะนำให้เอกชนทำประกันค่าเงินไว้ ซึ่งการที่เอกชนนำแนวทางนี้ไปใช้ สามารถลดความเสี่ยงเรื่องค่าเงินได้มาก และเรื่องค่าเงินถือว่าไม่ใช่ปัญหาที่น่าหนักใจสำหรับผู้ส่งออก" รมว.พาณิชย์ กล่าว

ส่วนภาวะการนำเข้าในเดือน มี.ค. พบว่ามีการขยายตัวสอดรับกับการส่งออก โดยการนำเข้าสินค้าทุนเพิ่มขึ้น 54.2% เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ส่งผลให้มีการขยายการลงทุน ประกอบกับ โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐได้เริ่มดำเนินการบ้างแล้ว

การนำเข้าสินค้าสินค้าในกลุ่มเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้น 25.6% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น 85.2% สอดคล้องกับการส่งออกของประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น และมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้น 32% ซึ่งการที่เงินบาทแข็งค่า ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง ขณะที่การนำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง เพิ่มขึ้นถึง 118.7% มาจากยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ รวมทั้งตลาดส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้น และมีการนำรถยนต์รุ่นใหม่มาแสดงในงานมอเตอร์โชว์

สำหรับตลาดส่งออกสำคัญในเดือน มี.ค. ในด้านตลาดหลัก ที่การส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และขยายตัวสูงถึง 50.1% เป็นการเพิ่มขึ้นในทุกตลาด ทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ส่วนการส่งออกไปตลาดใหม่ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบทุกตลาดเช่นกัน โดยตลาดส่งออกที่เพิ่มขึ้นสูงกว่า 20% ได้แก่ จีน ฮ่องกง ออสเตรเลีย อินเดีย เกาหลีใต้ ละตินอเมริกา

รมว.พาณิชย์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มการส่งออกเดือน เม.ย.53 คาดว่าจะมียอดการส่งออกประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเป็นเดือนที่มีปัจจัยลบสำคัญต่อการส่งออก คือมีวันหยุดจำนวนมาก และเกิดเหตุภูเขาไฟปะทุที่ไอซ์แลนด์ ทำให้มีการปิดน่านฟ้ายุโรป ทำให้กระทบต่อการส่งออกสินค้าบางประเภท

"ปกติแล้ว ในเดือนเม.ย.ก็ส่งออกไม่ค่อยดี เพราะติดวันหยุดยาว ประกอบกับปีนี้มีภูเขาไฟระเบิด ต้องปิดน่านฟ้า มีปัจจัยลบเยอะ ก็ต้องทำใจ" รมว.พาณิชย์ กล่าว

ขณะที่การคาดการณ์การส่งออกไตรมาส 2/53 จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 16% ที่มูลค่าประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเมินว่าสถานการณ์การเมืองภายในประเทศจะไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกมากนัก ตราบใดที่ไม่มีการชุมนุมปิดสนามบิน หรือปิดท่าเรือ ก็จะไม่กระทบต่อการส่งออกโดยรวม แต่อาจกระทบบ้างต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ