สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) รายงานว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร 16 ประเทศ หรือ ยูโรโซน เพิ่มขึ้นแตะ 6.3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2552 ซึ่งมากกว่าสองเท่าของที่อียูกำหนดไว้ไม่ให้เกิน 3% ของจีดีพี
ยอดขาดดุลดังกล่าวพุ่งขึ้นจากระดับ 2% ในปี 2551 และเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการใช้เงินยูโรเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2542
ทั้งนี้ ไอร์แลนด์และกรีซเป็นประเทศที่มียอดขาดดุลงบประมาณสูงสุดในยูโรโซน โดยไอร์แลนด์มียอดขาดดุลงบประมาณคิดเป็น 14.3% ของจีดีพี ขณะที่กรีซมียอดขาดดุลงบประมาณอยู่ที่ 13.6% ของจีดีพี
สำหรับหนี้สาธารณะรวมทุกรัฐบาลในยูโรโซนเพิ่มขึ้นแตะ 78.7% ของจีดีพีในปีที่แล้ว จากระดับ 69.4% ในปี 2551
ขณะที่ยอดขาดดุลงบประมาณของ 27 ประเทศสมาชิกอียู ซึ่งรวมถึงประเทศที่ไม่ใช้เงินยูโร รวมเพิ่มขึ้นแตะ 6.8% ของจีดีพี จากระดับ 2.3% ส่วนหนี้สาธารณะพุ่งแตะ 73.6% ซึ่งเกินจากที่อียูกำหนดไว้ที่ 60%
ก่อนหน้านี้ อียูคาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลงบประมาณในยูโรโซนจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.4% ของจีดีพีในปี 2552 โดยไอร์แลนด์จะขาดดุลงบประมาณ 12.5% และ กรีซ 12.7% และคาดว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของยูโรโซนในปี 2553 จะขยายตัวแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.9% ของจีดีพี ขณะที่หนี้สาธารณะอาจทะยานแตะ 84%