บล.กสิกรไทยและบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประทศไทย ในสัปดาห์หน้า (4-7 พ.ค.53) มองว่า ดัชนีน่าจะฟื้นตัวได้ในระยะสั้น โดยปัจจัยที่ยังคงต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ผลประกอบการไตรมาส 1/53 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย และการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของกระทรวงพาณิชย์
ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ คงจะต้องติดตามความคืบหน้าของแผนช่วยเหลือกรีซของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)) และกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดโลก การปรับตัวของตลาดหุ้นภูมิภาค ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ บล.กสิกรไทยคาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 757 และ 750-746 ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 770 และ 783
สำหรับ ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในสัปดาห์นี้ (26-30 เม.ย.53) ว่า ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 763.51 จุด ปรับตัวขึ้น 1.18% จาก 754.58 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า และพุ่งขึ้น 3.94% จากสิ้นปี 2552 ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสัปดาห์ลดลง 31.79% จาก 122,285.28 ล้านบาท ในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 83,415.53 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ลดลงจาก 24,457.06 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 16,683.11 ล้านบาท
โดยนักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิที่ 3,757.26 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 1,087.33 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 417.24 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 5,261.83 ล้านบาท
ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 205.13 จุด ปรับตัวขึ้น 0.89% จาก 203.33 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ปรับลง 4.72% จากสิ้นปีก่อน
ปัญหาการเมืองในประเทศยังกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จึงทำให้มูลค่าการซื้อขายโดยรวมไม่มากนัก ดัชนีหุ้นไทยปิดบวกในวันจันทร์ ตามทิศทางตลาดหุ้นในต่างประเทศ โดยมีแรงซื้อนำในหุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ส่วนในวันอังคาร ดัชนีปิดลบ โดยได้รับแรงกดดันจากปัญหาการเมืองในประเทศ
ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 1/53 ของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่ออกมาสดใส ช่วยกระตุ้นภาวะการซื้อขายได้ไม่มากนัก ประกอบกับปัจจัยตลาดต่างประเทศยังเป็นลบ จากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ของกรีซ ดัชนีหุ้นไทยปิดร่วงลงแรงต่อในวันพุธ โดยมีแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น ส่วนในวันพฤหัสบดี ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนอยู่ในกรอบแคบๆ ก่อนจะปิดบวกเล็กน้อย โดยมีแรงซื้อนำในหุ้นกลุ่มแบงก์ และกลุ่มปิโตรเคมี จากนั้น ดัชนีปรับตัวขึ้นและสามารถยืนเหนือระดับ 760 ได้ในช่วงท้ายสัปดาห์ โดยได้รับแรงหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง รวมถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2553 ของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้