นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ(BBL) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 53 มีโอกาสเติบโตได้มากกว่า 4% เมื่อแรงต้านจากปัญหาการเมืองในประเทศลดลง หลังจากนายกรัฐมนตรีประกาศโรดแมพสร้างความปรองดองและกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย.53
หากรัฐบาลสามารถจัดการเลือกตั้งได้ตามที่กำหนดไว้ ก็จะทำให้มีเม็ดเงินกระจายลงสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ช่วยผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในระยะยาว สิ่งสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังมาจากการกระจายฐานรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะชนชั้นกลาง รวมถึงการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคม
"การที่นายกฯออกมาประกาศโรดแมพและการเลือกตั้ง เป็นการบ่งบอกถึงความพยายามในการทำหน้าที่ ทำให้ทุกคนเกิดความสบายใจมากขึ้น แต่ที่เหลือคงขึ้นอยู่กับผู้ที่เกี่ยวข้องจะตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไร และคงจะต้องติดตามดูถึงกระบวนการจากนี้จนถึงการเลือกตั้ง"นายโฆสิต กล่าวในการสัมมนา"เศรษฐกิจไทยจะไปทางไหน"
นายโฆสิต กล่าวว่า หากมองการเติบโตของเศรษฐกิจไทยภายใต้แรงต้านต่างๆ ยังเป็นไปด้วยดี ซึ่งเกิดจากการร่วมมือของภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เห็นได้จากเศรษฐกิจในไตรมาส 1/53 ยังเติบโตจากแรงส่งที่มีกำลังสูง ขณะที่ ก.พ.-มี.ค.53 มีวิกฤติการเมืองเป็นแรงกดดัน แม้ทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอลงบ้าง แต่ภาคเอกชนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ผลักดันประเทศให้เกิดการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม ภายใต้วิกฤติการเมืองที่เกิดขึ้น ทำให้เป็นโอกาสให้ภาคเอกชนมีการปรับตัว หรือรวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือกันให้ธุรกิจอยู่รอด
ทั้งนี้ ภาคเอกชนไทยที่เข้มแข็ง ต้องมี 3 ปัจจัยสำคัญ คือ การรวมตัวกันปรับปรุงประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารจัดการ เพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขัน ขณะที่ ซัพพลายเชนมีความเข้มแข็ง เป็นที่ยอมรับจากประเทศอื่นๆ ทั้งในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ และอาหาร ซึ่งต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อเนื่อง เพื่อให้ความสามารถการแข่งขันของประเทศเพิ่มขึ้น และแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาคได้ แต่หากยังล่าช้าจะเกิดความเสียเปรียบประเทศอื่น และอาจทำให้นักลงทุนที่เข้ามาย้ายไปลงทุนประเทศอื่นแทน
นายโฆสิต กล่าวว่า จากปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร โดยเชื่อว่าการปล่อยสินเชื่อยังเติบโตได้ และระดับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ